adsense

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Triglycerides (TG) : P.4, Function of Triglyceride

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 4, 2015

ผลจากการศึกษาในสมัยก่อนชี้ให้เห็นว่า  ความสัมพันธ์ระหว่างไขมัน TG กับ
โรคหัวใจยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับไชมัน cholesterol
แต่มาในปัจจุบัน เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า การมีระดับ TG ในกระแสเลือดสูง จะ
เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้จริง

TG เป็นรูปแบบหนึ่งของไขมัน พบได้ในอาหารที่เป็นพืช และเนื้อสัตว์ในรูป
ของน้ำมันพืช (vegetable oils) เช่น น้ำมันจะดอกทานตะวัน (sunflower) 
และจากถั่วลิสง (peanut)  ซึ่งอยู่ในสภาพเป็นของเหลวในอุณหภูมิของห้อง

ในอาหารประเภทเนื้อ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม จะมีไขมัน TG
ซึ่งจะอยู่ในสภาพแข็งตัวในอุณหภูมิห้อง จัดเป็นไขมันที่มีความจำเป็นต่อ
การทำงานของร่างกายบางอย่างเป็นการเฉพาะ แต่หากปริมาณของไขมัน
ตัวดังกล่าวมีระดับสูง  มันสามารถนำไปสู่การเกิดปัญหาทางสุขภาพได้

ลักษณะพิเศษของ TG:

ไขมัน TG เป็นไขมันที่สามารถพบได้ในร่างกายของคนเรา เป็นกรดไขมัน
สามสาย (three chains) มีลักษณะเหมือนกับ phospholipids ที่ใช้สร้าง
เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membranes)

ไขมัน TG ไม่ละลายในน้ำ (hydrophobic) ดังนั้น มันจึงไม่รวมตัวเข้ากับ
เยื่อหุ้มเซลล์ (membranes) แต่มันจะร่วมตัวกับโปรตีนพิเศษชนิดหนึ่ง
เรียกว่า lipoprotein...ทำให้มันสามารถไหลเวียนไปทั่วกายโดยผ่านทาง
กระแสเลือด

ไขมัน TG จะให้พลังงานแก่ร่างกาย...
แต่หน้าที่หลักของไขมัน TG คือการสะสมพลังงานเอาไว้ เพื่อให้เนื้อเยื่อ
ต่างๆ ใช้ในเมื่อต้องการ

อาหารที่คนเรารับประทาน เป็นพลังงานที่ได้จาก “คารฺโบไฮเดรต”, “โปรตีน”
และ “ไขมัน” เมื่อใดที่เรารับประทานอาหารได้พลังงานมากกว่าที่ร่างกาย
ต้องการ พลังงานที่เหลือจะถูกสะสมในรูปของไขมัน triglycerides และเก็บ
ไว้ในเซลล์ของไขมัน (fat cells) จนกว่าร่างกายต้องการใช้ เช่น ในระหว่าง
ที่ยังไม่ถึงเวลารับประทานอาหาร  จะมีการส่งสัญญาณทางฮอร์โมนไปยัง
เซลล์ไขมันให้ปล่อยไขมัน TG ออกมา เพื่อให้ร่างกายได้ใช้

ผลกระทบของ TG ต่อสุขภาพ:

กล่าวมาแล้วว่า ไขมัน TG จะทำหน้าที่รับใช้ร่างกายเมื่อต้องการ
ถ้าเมื่อใด ร่างกายไม่มีไขมัน TG สะสมภายในร่างกายเลย จะทำให้ร่างกาย
ปราศจากพลังงาน เหมือนรถยนต์ปราศจากเชื้อเพลิง...
ในกรณีเช่นนี้  เราจะต้องรับประทานอาหารอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ร่างกาย
มีชีวิตอยู่ได้

ในกรณีที่มีไขมัน TG สูง...
The American Heart Association ได้เตือนเอาไว้ว่า การมีระดับ TG สูง
ที่เราเรียกว่า hypertriglyceridemia จะมีส่วนสัมพันธ์กับการทำให้เกิดโรค
หลอดเลือดของหัวใจ (CAD)

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคตามที่กล่าว...
เราจะต้องให้ระดับของไขมัน TG อยู่ในระดับ 150 mg/dL หรือต่ำกว่า
หากระดับไขมัน TG อยู่ระหว่าง 200 – 499 m mg/dL ถือว่าสูง และหาก
ระดับ TG สูงกว่า 500 mg/dL ถือว่าสูงมาก
ซึ่งท่านจำเป็นต้องลดระดับไขมัน TG ให้ต่ำลงด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:
วิธีลดระดับไขมัน TG ได้ดีที่สุด คือ การลดปริมาณของพลังงาน (calories)
ที่ได้จากการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะในคนที่มีน้ำหนักเกิน
นอกเหนือจากการตัดปริมาณของพลังงาน (อาหาร) ท่านจะต้องลดปริมาณ
ของไขมันอิ่มตัว, ไขมันทรานซ์, และคอเลสเตอรอลลง
โดยให้รับประทานอาการประเภทผัก และผลไม้เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนั้น ท่านต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยให้ออกกำลัง
กายในระดับความรุนแรงพอประมาณ 30 นาที/วัน ทุกวัน หรืออย่างน้อย
5 วัน /หนึ่งอาทิตย์, ดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง เพราะมันสามารถทำให้ระดับ
ไขมัน TG ลดลงได้

<<BACK


อ้างอิง:

o healthyeating.sfgate.com
o dl.clackamas.edu
o www.medicinenet.com
o en.wikipedia.org


Cholesterol and Triglycerides : P.3, LDL and HDL cholesterol

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 4, 2015

LDL เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นต่ำ (Low density lipoprotein) ถุกเรียกว่า
เป็นไขมันชนิดเลว (Bad Cholesterol)  ส่วน HDL เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง
(high density lipoprotein) ถูกเรียกว่า เป็นไขมันดี (Good Cholesterol)
ซึ่งเราจะพบว่า ระดับของ LDL-C จะสูงกว่า HDL-C

ทำไมเขาถึงเรียกว่า LDL-C เป็นไขมันเลว ?
ในรายที่ระดับไขมัน LDL-C ในกระแสเลือดสูง จะมีความสัมพันธ์กับการเพิ่ม
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ (heart attack) และสมองถูกทำลายจาการ
ขาดเลือด (stroke) ได้สูง

ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเชื่อว่า เมื่อระดับของ LDL-C ในกระแสเลือดสูง จะทำ
ให้ LDL lipoprotein มีแนวโน้มที่จะเกาะตัวบนผิวของเส้นเลือดแดงในรูปของ
คราบไขมัน (plaques) ทำให้เกิดเส้นเลือดแข็ง (atherosclerosis) และตีบแคบ
เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจ (heart attack) และโรคสมอง (stroke)
ดังนั้น เราจึงเรียกไขมัน LDL-C เป็นไขมันไม่ดี (Bad cholesterol)

จากการใช้ยากลุ่ม statin สามารถทำให้ระดับไขมัน LDL cholesterol ลดลง
และลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจได้  และนั้นคือเหตุผลที่แพทย์ทั้งหลาย
แนะนำให้คนที่มีระดับไขมัน LDL-C สูงใช้ยากลุ่มดังกล่าว

ทำไมเราเรียก HDL cholesterol เป็นไขมันดี ?
มีหลักฐานมากมายที่พบว่า เมื่อระดับ HDL –C ในกระแสเลือดสูง  เราจะพบว่า
ความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจจะลดลง  ในทางกลับกัน หากระดับ HDL – C
ในกระแสเลือดต่ำลง  จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ดังนั้น เราจึงเรียกไขมันตัวนี้ว่า เป็นไขมันดี (Good Cholesterol)

มัน (HDL-C) ทำงานกันอย่างไร ?
เราพบว่า  HDL lipoprotein จะทำหน้าที่ทำความสะอาดตามผิวของเส้นเลือดแดง
ด้วยการกำจัดเอาคราบของไขมัน cholesterol ออกทิ้งไป พร้อมกับส่งไขมันที่ถูก
ขจัดออกมาให้แก่ตับ เพื่อทำการกำจัดออกจากกาย โดยผ่านกระบวนการทาง
เคมี

หากมี HDL cholesterol ในปริมาณมากขึ้น ย่อมหมายความว่า จะมีการกำจัด
เอาไขมัน cholesterol ที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดออกไปได้มากขึ้น


<<BACK   NEXT>>: P.4,  Function of Triglycerides

มาทำความเข้าใจกับไขมันในกระแสเลือด... : P.2, What are triglycerides?


นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์ 
May 11, 2015


เราสามารถพบไขมัน cholesterol และ triglycerides ได้จากสองแหล่งด้วยกัน:

จากอาหารที่เรารับประทาน (Dietary sources)
ถูกผลิตภายในร่างกายได้ธรรมชาติ  (Endogeneous sources)

ส่วนใหญ่ ไขมันทั้งสองจะได้จากอาหารที่เรารับประทาน เช่น เนื้อ (meats) และ
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (diary products) โดยไขมันทั้งสองชนิดจะถูกดูดซึม
จากลำไส้  ผ่านเข้าสู่กระแสโลหิต และส่งไปยังตับ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไขมันทั้งสอง
จะผ่านปฏิกิริยาทางเคมีต่อไป

หน้าที่สำคัญของตับ...
ตับต้องทำหน้าที่ให้เนื้อเยื่อทุกชนิดในร่างกายได้รับไขมัน cholesterol และ
triglycerides เพื่อการทำงานของร่างกายดำเนินไปได้ตามปกติ
โดยทั่ว ภายใน 8 ชั่วโมง หลังรับประทานอาหาร ตับจะรับเอาไขมันทั้งสองจาก
กระแสเลือด  และในระหว่างร่างกายไมได้รับไขมันจากอาหาร ตับจะสร้างไขมัน
ทั้งสองชนิดขึ้นเอง  โดยเราจะพบว่า 75% ของ cholesterol ในร่างกาย
จะถูกสร้างโดยตับ

ตับจะทำหน้าที่ให้ไขมันทั้งสอง (cholesterol & TG) อยู่บนผิวของโปรตีนที่มีรูป
ร่างทรงกลม มีชื่อเรียกว่า lipoproteins ซึ่งจะไหลเวียนตามกระแสโลหิต เพื่อ
ให้เซลล์รับเอาไว้ตามต้องการ โดยการจับเอาไขมันทั้งสองจากผิวของโปรตีน
ที่ชื่อว่า lipoproteins

จะเห็นว่า โปรตีนที่มีชื่อว่า lipoproteins จำหน้าที่เป็นพาหนะที่สำคัญ สำหรับ
นำส่งไขมันให้ถึงปลายทาง...

<<BACK   NEXT>>   P.3, LDL and HDL cholesterol

มาทำความเข้าใจกับ Triglycerides : P.1, What are triglycerides?

นพ. มานิต์ย์ วัชร์ชัยนันท์ 
May 11, 2015
.
Triglycerides (TG) เป็นสารประกอบทางเคมี ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
โดยกระบวนการทางปฏิกิริยาทางเคมี โดยเฉพาะทำให้อาหารได้แปลเปลี่ยน
ไปเป็นพลังงาน เพื่อการเจริญเติบโต

TG เป็นรูปแบบหนึ่งของไขมัน ที่พบได้มากที่สุดในในอาหารที่เรารับประทาน
ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่ปรากฏในสิ่งที่มีชีวิต เช่น พืช และสัตว์
โดยสามารถพบได้ในของน้ำมันพืช และมันสัตว์ (vegetable and animal fats)

โมเลกุลของ TG เป็นรูปแบบหนึ่งของสารเคมี glycerol (หรือ glycerine)
ซึ่งประกอบด้วย กรดไขมัน (fatty acids) 3 ตัว ก่อนที่มันจะถูกเข้าสู่ร่างกาย
มันจะถูกทำให้แตกตัวในลำไส้เล็ก

หลังจากนั้น มันจะรวมตัวกับ cholesterol เพื่อสร้างเป็น chylomicrons
ทำหน้าที่เป็นแหล่ง (source) พลังงานสำหรับเซลล์ภายในร่างกาย  โดยจะ
ถูกเก็บสะสมเอาไว้ในเซลล์ของตับ และเซลล์ของไขมัน
(liver cells & fat cells)...

เมื่อร่างกายต้องการ ไขมัน – chilomicrons จะถูกปล่อยออกมาจากเซลล์
ของตับ และเซลล์ของไขมัน เพื่อให้เซลล์ต่าง ๆ ใช้เป็นพลังงานต่อไป

ในกรณีที่ TG ในกระแสเลือดมีระดับสูงขึ้น มันจะแปรสภาพเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ
การเกิดโรคเส้นเลือดแข็งขึ้นมาทันที ทำให้เส้นเลือดแดงเกิดการตีบตันจาก
คราบของไขมันเกาะตามผิวของเส้นเลือด ยังผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ
และสมองขาดเลือด รวมถึงโรคของเส้นเลือดแดงส่วนปลาย

ในกรณีที่มีระดับ TG ในกระแสเลือดมีระดับสูงมากๆ  อาจเป็นเหตุให้เกิดภาวะ
ไขมันพอกตับ (fatty liver) และโรคตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) ได้

มีโรคบางอย่าง ที่พบ TG ในกระแสเลือดมีระดับสูงกว่าปกติ เช่น:

โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ดี (poorly-controlled DM)
โรคไต (Kidney disease)
ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ (hypothyroidism)
โรคตับแข็ง (cirrhosis of liver) หรือ โรคตับชนิดอื่น ๆ
เกิดจากการรับยาบางอย่าง เช่น beta blockeers, diuretics,
        birth control pills

การดื่มแอลกอฮอล์ สามารเพิ่มระดับของ TG ในกระแสเลือด โดยการทำให้
ตับสร้างกรดไขมัน (fatty acids) เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม  การดื่มแอลกอฮอล์ก็มีประโยชน์หากดื่มแต่พอประมาณ ซึ่ง
หมายความว่า ให้ดื่มเพียงหนึ่งแก้วมาตรฐาน (one drink) : one glass of wine,
a bottle of beer, หรือ an aunce of liquor)

จากการดื่มแอลกอฮอล์พอประมาณดังกล่าว สามารถปรับความสมดุลไม่ให้ไขมัน
TG เพิ่มสูงขึ้น และการดื่ม red wine อาจช่วยเพิ่มระดับของไขมันดี HDL-C ให้
สูงขึ้นได้เล็กน้อย  นอกจากนั้น เรายังพบว่า ไวน์แดงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ
และอาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจก็ได้

NEXT >> P.2,  Cholesterol and Triglycerides

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แอสไพริน และโรคหัวใจ : P.2, About Aspirin and Heart Disease


นพ. มานิตย์  วัชร์ชัยนันท์

May 7, 2015

มีการแนะนำให้ใช้ aspirin ในขนาดต่ำ (low-dose) ประมาณ 75 – 162 mg
สำหรับเพศชายที่มีอายุระหว่าง 44 – 79 เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหัวใจ
เกิดการขาดเลือด(heart attack)  และสำหรับหญิงที่มีอายุระหว่าง 55 – 79
เพื่อป้องกันไม่ให้สมองเกิดการขาดเลือด  ยกเว้นเฉพาะในรายที่มีปัญหา
เรื่องเลือดออกในกระเพาะและลำไส้

Aspirin ทำงานกันอย่างไร ?

แอสไพริน ออกฤทธิ์ด้วยการบล็อกฤทธิ์ของสารเคมี ชื่อ thromboxane
(ถูกสร้างขึ้นโดยเกล็ดเลือด platelets) ไม่ให้เกล็ดเลือดเกิดการจับตัวกันเป็น
ก้อนได้

หน้าที่ของสารเคมี thromboxane จะทำหน้าที่ให้เกล็ดเลือดจับตัวเป็นก้อน
เพื่อหยุดการมีเลือดออกจากรอยแผล หากมีปริมาณของ thromboxan มีมาก
ไป มันสามารถก่อให้เกิดเกล็ดเลือดจับตัวเป็นก้อน ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดภาวะ
ที่เราเรียกว่า กล้ามเนื้อหัวใจ และสมองถูกทำลายจากการขาดเลือด
(heart attack & stroke)

Aspirin สามารถลดความเสี่ยงจากการจับตัวของเกล็ดเลือดได้ 25 % แต่มี
บางคนไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา “แอสไพริน” เรียกภาวะดังกล่าวว่า
“Asprin resistance” ซึ่งเราสามารถทำการตรวจได้ด้วยการตรวจหา ระดับของ
thromboxane ในกระแสเลือด:

ระดับ thromboxane สูง บ่งบอกให้ทราบว่า การใช้ aspirin ได้ผลต่ำ แต่
เราไม่สามารถบอกได้ว่า thromboxane ควรอยู่ระดับใด จึงจะบอกได้ว่า ร่าง
กายอยู่ในภาวะที่ต่อต้านแอสไพริน

ตามเป็นจริง มีคนไข้บางรายอาจได้รับประโยชน์จากการใช้ aspirin ทั้งๆ ที่พบ
ว่า  คนๆ นั้นตอบสนองต่อ aspirin ได้ไม่ดีก็ตาม  ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายนาย
จึงไม่แน่ใจว่า การตรวจหาภาวะ aspirin resistance จะมีประโยชน์

นอกจากนั้น การที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อแอสไพริน ไม่ได้หมายความว่า การ
ใช้แอสไพริน จะประสบความล้มเหลว บางคนบอกว่า การที่คนเราไม่ตอบสนอง
ต่อยา อาจเป็นเพราะคนเราไม่ยอมปฏิบัติตามต่างหาก...หรือลืมการกินยา

การกินยา แอสไพริน รวมกับการกินยาในกลุ่ม NSAIDs ตวอื่น ๆ ร่วมไปกับการ
เป็นโรคความดันโลหิตสูง ที่ไม่สามารถควบคุมได้, มีระดับไขมัน cholesterol สูง,
และสูบบุหรี่  โดยปัจจัยเหล่านี้ทำให้การใช้ยา aspirin ประสบความล้มเหลวได้

คำแนะนำสำหรับท่านที่ใช้ยา “แอสไพริน” เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ...

o หลีกเลี่ยงการกินยาร่วมกับยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น Advil หรือ Motrin
หากจำเป็นต้องใช้ยาในกลุ่มดังกล่าว ท่านต้องกินยากลุ่ม NSAIDs ก่อนที่
จะกินแอสไพริน 8 ชั่วโมง หรือกินหลังแอสไพรินครึ่งชั่วโมง

o ให้ใช้ non-coat aspirin แทน enteric –coated aspirin เพราะแอสไพรินที่
ถูกเคลือบมีประสิทธิภาพด้อยกว่า

o Aspirin จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดตกในกระเพาะอาหาร และทำให้เกิด
แผลได้ โดยเฉพาะในขนาดสูง… ต้องระวังเอาไว้ด้วย


<<BACK


อ้างอิง

o www.healthafter 50.com
o www.heart.org

การป้องกันไม่ให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจ และสมอง ด้วย แอสไพริน P.1

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 6, 2015

มีผู้อายุหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า...
ทำไมเขาจะต้องกินยาแอสไพริน?
สำหรับคนที่เคยมีประวัติว่า เคยเกิดกล้ามเนื้อหัวใจ หรือสมองถูกทำลาย
จากการขาดเลือดมาก่อน การกินแอสไพรินในขนาดต่ำๆ สามารถป้องกันมี่ให้
เกิดโรคหัวใจ และสมองได้

ผลจากการศึกษาพบว่า คุณค่าของ aspirin ใช้เป็นครั้งแรก เพื่อป้องกันไม่ให้
เกิดโรคหัวใจ หรือสมองถูกทำลาย  อาจไม่ชัดเจนนัก แต่ประโยชน์  และสิ่ง
ที่เราคาดหวังอาจถูกบดบังด้วยการเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกได้

ถ้าเราเข้าใจบทบาทของแอสไพริน...อาจช่วยอธิบายประโยชน์อันเกิดจาก
การใช้แอสไพรินได้ดีขึ้น:

แอสไพรินสามารถป้องกันไม่ให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจ และสมองถูกทำลาย โดย
ออกฤทธิ์ไปบล็อกบทบาทของเกล็ดเม็ดเลือด (platelet) ไม่ให้ถูกกระตุ้นเกิด
การจับตัวเป็นก้อนในเส้นเลือดได้ และจากการจับตัวของเกล็ดเลือดเป็นก้อน
นี้เอง ที่เป็นเหตุให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย (heart attack)

นอกจากนั้น แอสไพรินยังมีผลระคายต่อกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดเป็นแผลใน
กระเพาะ และอาจเกิดการตกเลือดได้อย่างมาก โดยเกล็ดเลือดจะไม่จับตัว
เป็นก้อนเพื่อหยุดเลือดได้

จะเห็นว่า เป้าหมายของการใช้ aspirin คือการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะของ
กล้ามเนื้อหัวใจ และสมองถูกทำลายจากการขาดเลือด


NEXT>> P.2, About Aspirin and Heart Disease

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมื่อมีการเผาผลาญไขมัน ...P.1: Fat-burning discovery

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 9, 2015

การมีน้ำหนักตัวเพิ่ม และอ้วน เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ  เช่น
ความดันโลหิตสูง,โรคหัวใจ, และเบาหวาน...ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ทั่วโลก

มีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นเหตุให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และอ้วน เช่น พันธุกรรม,
พฤติกรรม, และสภาพแวดล้อม  โดยเราจะเห็นว่า มนุษย์ยุคปัจจุบัน
ได้พัฒนาจากยุคดึกดำบรรพ์  โดยอาศัยอยู่ในถ้ำด้วยความขาดแคลนอาหาร
และอยู่ด้วยความหิวโหย ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่มีอาหารอันสมบูรณ์ 
มีการกินอาหารได้ตามต้องการ  และเกินความต้องการของร่างกาย จึงเป็น
เหตุให้มีการสะสมพลังงาน (อาหารที่เกินความต้องการ) ในรูปแบบไขมัน
เอาไว้ตามร่างกาย  และยังไม่ค่อยออกกำลังกายเท่าที่ควร  จึงเป็นเหตุให้
เกิดความอ้วนตามมาในที่สุด

ผลจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พบว่า จะมีฮอร์โมนถูกหลั่งออกมา...
ท่านอาจสงสัยว่า ฮอร์โมนที่ว่ามันคืออะไร ?

เมื่อคนเราออกกำลังกายด้วยการเดิน...ในตอนเช้า ภายใต้แดดอ่อนๆ มีสาย
ลมพัดผ่าน ทำให้เราจะรู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายในทุกส่วนของกาย แต่
ภายในร่างกายของเราละ...มีน้อยคนที่จะเข้าใจ นั้นคือ ในการออกกำลังกาย
จะมีการเปลี่ยนทางเคมีบางอย่างเกิดขึ้น

ในขณะที่มีการออกกำลังกาย...
เราอาศัยกล้ามเนื้อเป็นตัวขับเคลื่อน  ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยพลังงานที่สะสมเอา
ไว้ในร่างกายรูปแบบไขมัน  โดยการเผาผลาญไขมัน และน้ำตาล 
และนั่นคือสิ่งที่พวกเราทุกคนรู้...แต่มีบางอย่างที่เราบางท่านไม่รู้

ผลจากการศึกษาในหนูทดลองโดย Dr. Spiegelman จาก Harvard Medical
School พบว่า กล้ามเนื้อที่มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะสร้างฮอร์โมน
ชนิดหนึ่งออกมา มีชื่อว่า “Irisin” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้มีการ
สร้างเซลล์ไขมันสีน้ำตาลขึ้นมา  และเซลล์ไขมันตัวนี้แหละที่เผาผลาญไขมัน
ที่สะสมในเซลล์ไขมันสีขาว เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ใช้ในการขับเคลื่อน...




เมื่อมีการเผาผลาญไขมัน... P. 4 : Can you reduce your fat cells ?

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์

May 7, 2015


เป็นที่เชื่อกันว่า...
คนเราสามารถเพิ่มจำนวนของเซลล์ไขมันได้  แต่เราไม่สามารถลดจำนวน
ของเซลล์ไขมันได้ โดยเฉพาะเซลล์ไขมันสีขาว (white fat cells)

ทฤษฏีเกี่ยวกับไขมันมีว่า เซลล์ไขมันจะบรรจุด้วยไขมันตามเวลาที่ผ่านไป
โดยการรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินความต้องการ ซึ่งอาหารที่
รับประทานเกินนั้น จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน และบรรจุในเซลล์ไขมัน
และขนาดของเซลล์ไขมันจะโตขึ้นเรื่อยตามจำนวนไขมันทีบรรจุภายในเซลล์
และหากมันโตมากขึ้นถึงสี่เท่าตัวเมื่อใด  มันจะเกิดการแบ่งตัว ด้วยการ
เพิ่มจำนวนเป็นเท่าตัว

ผลจากการศึกษายังพบว่า  เมื่อปริมาณของเซลล์ไขมันเพิ่มจำนวนขึ้นแล้ว เรา
ไม่มีทางลดปริมาณที่เพิ่มได้เลย  มีทางเดียวเท่านั้ ที่เราสามารถทำได้ นั้นคือ
ทำให้ขนาดของเซลล์ไขมันหดตัวลง

ถูกต้องครับ...
ท่านสามารถทำให้เซลล์ไขมันในกายของท่านหดตัว และทำให้มันขยายตัวได้
และเมื่อท่านโตเป็นผู้ใหญ่ ปริมาณของเซลล์ไขมันในร่างกายของท่านจะคงที่
ไม่สามารถทำให้มันลดจำนวนลงได้

เมื่อท่านลดปริมาณของไขมันในเซลล์ไขมันลงถึงระดับต่ำ เซลล์ไขมันจะส่ง
สัญญาณบอกให้ร่างกายทำการบรรจุไขมันเข้าไปในเซลล์ด้งกล่าวให้เต็ม
นี้คือเหตุหนึ่ง  ที่บอกให้ทราบว่า การคงสภาพให้ไขมันในร่างกายอยู่ในระดับต่ำ
เป็นเรื่องที่ยาก

ผลจากการศึกษาพบว่า  เราเกิดมาพร้อมเซลล์ไขมันจำนวนหนึ่ง ซึ่งมันจะเพิ่ม
จำนวนขึ้นในช่วงที่เป็นเด็ก...จนกระทั้งถึงช่วงต้นๆ ของวัยหนุ่ม  พอถึงวัย
ผู้ใหญ่ปริมาณของเซลล์ไขมันจะมีจำนวนคงที่

ผลจากการศึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมัน:

พบว่า  จำนวนของเซลล์ไขมันในคนผอม และคนอ้วน...แม้แต่ได้ลดน้ำหนักลง
แล้วก็ตาม พบว่า  มีปริมาณคงเดิม  ซึ่งบ่งให้ทราบว่า จำนวนของเซลล์ไขมัน
จะถูกกำหนด (set) เอาไว้ตั้งแต่วัยเด็ก และช่วงวัยรุ่น

อย่างไรก็ตาม  เมื่อคนเราแก่ตัวขึ้น เซลล์ไขมันจะตายไป  แต่มันจะถูกสร้างขึ้น
ได้ใหม่ตามจำนวนที่มันตายไป  ซึ่งหมายความว่า ปริมาณของเซลล์ไขมันของ
ท่านจะเท่ากับปริมาณที่ถูกสร้างขึ้นในวัยเด็ก – หนุ่ม

จากข้อมูลที่เสนอมา  บอกให้เราได้ทราบว่า...

ถ้าปริมาณของเซลล์ไขมันเพิ่มขึ้นจนถึงวัยหนุ่ม  เราก็จะมีปริมาณเซลล์ไขมัน
ในจำนวนเท่านั้นตลอดอายุขัยของเรา  ไม่ว่าเราจะผ่าตัดเอาไขมันออกทิ้ง
เช่นดูดเอาไขมันออกทิ้ง (liposuction) ซึ่งหมายความว่า...

หากท่านต้องการลดน้ำหนัก และป้องกันกันไม่ให้เป็นโรคอ้วน  ท่านจะต้อง
เริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็กเท่านั้น  นั้นคือ รับประทานอาหารให้ถูกต้อง ไม่รับประทาน
อาหารเกินความต้องการ  และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

\
<<BACK

อ้างอิง:

o www.health.harvard.edu
o en.wikipedia.org
o www.coachcalorie.com

เมื่อมีการเผาผลาญไขมัน... P.3, Other Effects of Irisin’s Hormone

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 7, 2015

เราเคยได้รับทราบมาก่อนแล้วว่า...
การออกกำลังกายในระดับพอประมาณ (moderate exercise) อย่างสม่ำเสมอ
สามารป้องกันไม่ให้เกิดโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ ยกตัวอย่าง การมีพฤติกรรมเป็น
ประจำด้วยการออกกำลังกายระดับพอประมาณอย่างสม่ำเสมอ สามารถลดความ
ความเสี่ยงจากการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ประมาณ 60%

คำถาม: มันเกิดได้อย่างไร ?
คำตอบ : ฮอร์โมน Irisin ซึ่งเกิดจากการที่กล้ามเนื้อมีการบริหารเป็นประจำ อาจ
เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ  นอกเหนือจากนั้น ผลอันเกิดจากฮอร์โมน Irsin ยังมีผลใน
การสร้างเซลล์ไขมันสีน้ำตาล (brown fat cells), และช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกาย
เกิดการต่อต้าน “insulin” (insulin resistance) ได้อีก
ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ โดยไม่ต้องใช้ยา...

Dr. Spiegelman ได้ทำการศึกษาในหนูทดลอง และพบว่า หนูที่มีการออกกำลัง
กายอย่างสม่ำเสมอสามารถสร้างฮอร์โมน Irisin  แม้ว่าจะไม่ได้รับการพิสูจน์ในคน
แต่ก็เชื่อว่า ฮอร์โมน “Irisin” สามารถเกิดขึ้นในคนที่มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ได้เชนกัน

จากการศึกษาตามที่กล่าวมา นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เพราะมันทำให้เราเข้าใจว่า ร่างกายของคนเรามันทำงานกันอย่างไร โดยเฉพาะ
ในด้านทฤษฎีเกี่ยวกับกับ Irisin น่าจะมีประโยชน์ และนำมาประยุต์ใช้ในการลด
น้ำหนัก และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 ได้

เราไม่จำเป็นต้องรอจนกว่า ฮอร์โมน Irisin จะได้รับการพิสูจน์
เพราะประการแรก Irisin เป็นฮอร์โมนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการออกกำลังกาย
ซึ่งพบในหนูทดลอง  ซึ่งเชื่อว่า สามารถเกิดในคนได้เช่นกัน และไม่มีผลข้างเคียง
ใดๆ   การที่สำคัญ เราได้รับการพิสูจน์แล้วว่า การออกกำลังกายเป็นวิธีการที่ทำให้
สุขภาพของเราดีขึ้นโดยไม่มีข้อดต้แย้งใด ๆ

<<BACK    NEXT>> P.  4 : Can you reduce your fat cells ?

เมื่อมีการเผาผลาญไขมัน...: P.2, White Fat cell vs Brown Fat cells

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 7, 2015

continued

หลายท่านคงเคยสังเกตเห็น ไก่ที่ถูกทำหมัน (ไก่ตอน) มา...

สังเกตดูภายนอกมันจะอ้วนพี...ภายในช่องท้องของมันจะเห็นเนื้อเยื่อที่

เป็นมัน (สีเหลือง) เต็มไปหมด ! ทำให้นึกถึงสุภาพบุรุษ และสตรีที่มีรูป

ร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์: สุภาพบุรุษจะมีพุงโต ยื่นออกมาเหมือนตรีตั้งท้อง

จนคลอด ส่วนสุภาพสตรีกลับไม่มีพุงเหมือนสุภาพบุรุษ  แต่เป็นเป็นสะ

โพก และต้นของเธอจะมีขนาดใหญ่โตขึ้น...


สำหรับสุภาพบุรุษที่มีพุงโตที่ไม่สามารถกำจัดไขมันออกได้  บางท่านก็

ปลอบใจตนเองว่า มันเสริมบุคลิกภาพ...ท่านผู้นั้นเป็นผู้มีบารมีสูงส่ง  

ส่วนสุภาพสตรีนี้ซิ หากปล่อยให้ร่างกายอ้วนถ้วน  และอยู่ในขั่วโลกเหนือ  

ท่านว่า เธอผู้นั้นมีบุญ...เช่น ชาวเอสกิโม  ท่านว่า เธอผู้นั้นเป็นผู้มีบุญ...


ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?

เมื่อเรารับประทานอาหารในปริมาณมาก (more claories) เกินความต้อง

การของร่างกาย พลังส่วนที่เหลือ (extra calories) จากเผาผลาญจะถูก

เก็บไว้ในรูปของไขมันตามรอบเอว หรือตามต้นขา...


บรรพบุรุษของมนุษย์ในอดีตหลายพันปีก่อนโน้น ไม่ได้กินอาหารเหมือนกับ

พวกเราในสมัยปัจจุบันหรอก...พวกของกินอาหารชนิดต่างๆ เพียง 2 - 3

ครั้งต่อหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น  และในระหว่างที่ไม่ได้กินอาหารนั้น พวกเขาจะ

ได้พลังงานจาก “ไขมัน” ที่สะสมในร่างกายเท่านั้น  และสามารถมีชีวิตรอด

อยู่ได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ


เซลล์ไขมันที่ทำหน้าที่สะสมไขมัน  เก็บไว้ใช้เมื่อคราวจำเป็น เป็นเซลล์ไขมัน

สีขาว (white fat cells)   เมื่อมีการสะสมไขมัน (fat) จะทำให้มีขนาดโตขึ้น

ตามปริมาณของไขมันที่สะสมเอาไว้ และเมื่อใดก็ตามที่ขนาดของไขมันโต

เป็น 4 เท่า มันจะแบ่งตัว  ทำให้มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก...จนกระทั้งถึงวัยรุ่น  เมื่อคนเราโตเป็นผู้ใหญ่

เต็มตัว ปริมาณของเซลลืไขมันสีขาวจะคงที่


ในปี 2009 นักวิจัยจากหลายแหล่ง ร่วมทั้งจาก Harvard Medical School 

ได้พบว่า  ในร่างกายของคนเรา นอกจากเซลล์ไขมันสีขาว (white fat cells) 

แล้ว ยังมีเซลล์ไขมันสีน้ำตาล หรือ Brown fat cells อีกด้วย

โดยมีบทบาทในการเผาผลาญไขมันที่มีอยู่ร่างกายเท่านั้น

ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการลดน้ำหนักตัว ท่านจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณ

ของเซลล์ไขมันสีน้ำตาลให้มากขึ้น  และลดปริมาณของเซลล์ไขมันสีขาวลง....


ประเด็นอยู่ที่ว่า  ท่านจะทำได้ดีแค่ใด ?


จากการทดลองในหนู (mice) พบว่า เมื่อมีการเผาผลาญพลังงาน (calories)

เช่นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะมีการสร้างเซลล์ไขมันสีน้ำตาลขึ้นใหม่  

ซึ่งหมายความว่า การบริหารร่างกายนั้นเอง ที่ทำให้มีเซลล์ไขมันสีน้ำตาลเพิ่ม

ปริมาณขึ้น


<<BACK   NEXT>> P.3, Other effects of Irisin’s hormone


วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

จะลดความอ้วน...ท่านจะต้องเริ่มต้นลดตั้งแต่วัยเด็ก P.2, Obesity - Liposuction

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 6,2015

สำหรับท่านที่ต้องการลดความอ้วนด้วยวิธีการผ่าตัด เช่น การดูดไขมัน
(liposuction) ควรทราบ...

มีผลของการศึกษา เกี่ยวกับการจัดการกับความอ้วนในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะ
สตรี ด้วยการผ่าตัดเอาเซลล์ไขมันออกจากบริเวณใต้ผิวหนัง ตรงบริเวณ
ต้นขาด้วยวิธีการดูดเอาไขมันออก (liposuction) นั้น...
ปรากฏว่า  ผลที่ได้เป็นเพียงชั่วคราวไปเท่านั้น  แต่น้ำหนักจะกลับคืนมา
เหมือนเดิมภายในสิ้นปี

อุตส่าห์เสียเงินทองไปเพื่อจัดการกับไขมันส่วนเกินแล้ว...
น้ำหนักมีเพิ่มได้อย่างไร ?...

ผลจาการศึกษา  พบว่า ไขมันใหม่จะเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าท้อง ไม่ใช้บริเวณที่ดูด
เอาไขมันออกในตอนแรกหรอก แต่จะมีเซลล์ไขมันเกิดขึ้นใหม่เกิดแทนที่เซลล์
ไขมันที่ถูกกำจัดออกไป  โดยเกิดในตำแหน่งใหม่เท่านั้นเอง

อีกการศึกษา...พบว่า  27% ในเด็กอนุบาล ที่มีน้ำหนักเกิน (overweight) หรือ
อ้วน (obese) มีแนวโน้มที่จะเป็นคนอ้วนในตอนหลังได้มากกว่าเด็กที่มีน้ำหนัก
ปกติ (เด็กในโรงเรียนอนุบาล)

ในการลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหาร (dieting) จะทำให้น้ำหนักลด โดย
มีการลดไขมันจากเซลล์ไขมัน แต่เซลล์ไขมันยังคงมีปริมาณเหมือนเดิมทุก
ประการ...และเซลล์ไขมันเหล่านั้นจะเล็กกว่าปกติ อยู่ในตำแหน่งเดิม เตรียม
พร้อมที่จะดูดเอาพลัง (calories) ส่วนเกิน  เพื่อให้ขนาดของเซลล์มีขนาดโต
เท่าเดิม  พร้อมกับเพิ่มน้ำหนักที่หายไป นอกจากนั้น ยังพบว่า การมีน้ำหนักเพิ่ม
ขึ้นอย่างมากนั้น  สามารถเพิ่มปริมาณของเซลล์ไขมันภายในร่างกายได้

จากข้อมูลที่เสนอบอกให้เราได้ทราบว่า...
การลดน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องที่ยาก และเมื่อลดน้ำหนักได้แล้ว การคงสภาพไม่ให้
น้ำหนักเพิ่มขึ้นมาใหม่จะเป็นเรื่องที่ยากมากกว่า
ดังนั้น  วิธีป้องกันความอ้วนได้ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้มันเกิดตั้งแต่วัยเด็กโน้น

<<BACK


อ้างอิง:

o http://weill.cornell.edu
o http://www.nhlbi.nih.gov
o http://en.wikipedia.org

จะลดความอ้วน...ท่านจะต้องเริ่มต้นลดตั้งแต่วัยเด็ก P.1, Obesity Prevention

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 6,2015


ผลจากการศึกษาพบว่า ความอ้วน(obese) หรือน้ำหนักเกิน สามารถ
ทำให้เกิดโรคได้หลายอย่าง ซึ่งนำไปสู่เกิดความพิการ หรือการไร้สมรรถภาพ
และเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ที่พบได้บ่อยได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง,
เบาหวาน, และโรคหัวใจจากหลอดเลือด

ในปี่ 2010 : จากหน่วยงานป้องกันโรคตดต่อในสหรัฐฯ มีการรายงานเอาไว้ว่า
ชาวอเมริกันที่มีอายุมากกว่า 19 ปี มักจะมีน้ำหนักเกิน (overweight ) และ 36%
ของจำนวนดังกล่าวจะถูกจัดเป็นโรคอ้วน (obese) โดยสามารถบอกได้ว่า เป็นคนอ้วน
(obese) หรือเป็นคนมีน้ำหนักเกิน (overweight) โดยการใช้สูตร ดังต่อไปนี้:

ดัชนีมวลกาย (Body mass index) เป็นค่าที่เป็นตัวเลขได้จากน้ำหนักตัว (weight)
หารด้วยความสูง (Kg/m2):

น้ำหนักต่ำกว่าปกติ (underweight) = <18.5
น้ำหนักเกินกว่าปกติ (overweight) =18.5 -24.9
อ้วน (obesity)                           = 30 หรือมากกว่า                                      

จากข้อมูลตั้งแต่ 1976 พบว่า คนมีน้ำหนักเกิน และความอ้วนได้เริ่มต้นตั้งแต่ช่วง
เด็กเล็ก (infancy) โดย Jules Hirsch ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเซลล์ไขมัน  และ
พบว่า  คนอ้วนมีเซลล์ของไขมันในร่างกายมีปริมาณมากกว่าปกติต่างหาก

นาย Hirsch ได้ทำการศึกษาในสัตว์ทดลอง (rats) วัยตั้งแต่วัยเริ่มต้น ด้วยการ
ให้อาหารมากกว่าปกติ ปรากฏว่าสัตว์ทดลองมีเซลล์ไขมันมากกว่า สัตว์ที่ได้รับ
การเลี้ยงดูตามปกติ  ไม่เพียงเท่านั้น นาย Hirsch และคนอื่นๆ ที่ทำการศึกษาเรื่อง
เดียวกัน ต่างพบว่า  คนอ้วนจะมีปริมาณของเซลล์ไขมันในร่างกายมากกว่าคนปกติ
ทั่วไป

นาย Spalding และเพื่อนได้ทำการศึกษา และชี้ให้เห็นว่า...
ในคนอ้วน แม้ว่าเขาจะลดน้ำหนักตัวลงด้วยวิธีการผ่าตัดเอากระเพาะ (bariatric
surgery) จนกลายเป็นผอมแล้วก็ตาม ปริมาณของเซลล์ไขมันยังมีมากเหมือน
เดิม และสรุปว่า ปริมาณของเซลล์ไขมันในร่างกาย จะเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็ก หรือใน
ช่วงวัยรุ่นแล้ว

ผลจากการศึกษาพบว่า เซลล์ไขมันของคนอ้วน (obese’ fat cells) จะปล่อยสาร
ที่แตกต่างจากเซลล์ไขมันในคนปกติทั่วไป  โดยไขมันดังกล่าวสามารถทำให้เกิดการ
อักเสบ (inflammation) และ ประเด็นสำคัญ หลังการผ่าตัดกระเพาะ
(gastric bypass) สารเคมีที่ผิดปกติจะหายไป

NEXT >> P. 2, Obesity Prevention - Liposuction

การป้องกันโรคหัวใจ : Life style for heart attack prevention

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
May 8, 2015


ท่านเชื่อหรือไม่ว่า...
เพียงแค่การควบคุมรับประทาน และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็สามารถ
ป้องกันไม่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายจากการขาดเลือด
(Heart attack) ได้ถึง 86 %

มีบทความจำนวนมากมายที่พูดเกี่ยวกับพฤติกรรม, อาหาร มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายจากการขาดเลือด (heart attack)

ผลจากการศึกษาในประชาชนชาวสวีเดนจำนวน 20,721 คน มีอายุระหว่าง
45 – 79 ปี ได้รับการศึกษาตั้งแต่ปี 1997  และสิ้นสุดการศึกษาในปี 2009
โดยมีแบบสอบถาม เพื่อประเมินปัจจัยต่างๆ 5 อย่าง ว่ามีผลกระทบกับการทำ
ให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย (heart attack) ซึ่งได้แก่:
อาหาร, การสูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์, การออกกำลังกาย และการมีไขมัน
ในบริเวณหน้าท้อง

ในกลุ่มทดลองที่มีพฤติกรรมดีที่สุด คือกลุ่มที่รับประทานอาหารสุขภาพ
(เช่น ผลไม้ และผักชนิดต่างๆ etc.), ดื่มแอลกอฮอล์ในระดับพอประมาณ,
ไม่สูบบุหรี่, ออกกำลังกาย 40 นาที/วัน (เดิน หรือ ปั่นจักรยาน), และมี
รอบเอวยาว <95 cm (38 in)… คนที่มีปัจจัยเสี่ยงน้อยที่สุด คือ คนที่มี
ปัจจัยครบทั้ง 5  พบเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย (heart attack)
เพียง 14% ของคนที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงที่สุด โดยพบในคนที่มีปัจจัยเสี่ยง
ทั้ง 5 ประการ

ผลจากการศึกษา และลงตีพิมพ์ในปี 2010 พบว่า ในกลุ่มที่รับประทาน
อาหารที่ไร้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ (unhealthy diet) เป็นปัจจัยเสี่ยง
ที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดในคนอเมริกัน

ปัจจัยอย่างอื่นที่มีความสำคัญตามลำดับต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจ และ
เส้นเลือด คือ การสูบบุหรี่  ตามด้วยโรคความดันโลหิตสูงไม่สามารถควบ
คุมได้, การออกกำลังกายต่ำ, และตามด้วยความอ้วน

จากผลของการศึกษา บอกให้เราได้ทราบว่า หากเราสามารถจัดการกับ
ปัจจัยทั้ง 5 ได้ ย่อมสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจได้

อ้างอิง

o weill.cornell.edu

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อโต้เถียงเรื่องไขมันอิ่มตัว: P.3, Saturated fats controversies-continued

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 29, 2015

continued...

เมื่อเราได้รับข้อความจากโซเซียลมีเดีย...
เราจะเห็นว่า ข้อมูลที่เราได้รับมานั้นไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด ยังมีประเด็น
สำคัญที่เขาไม่กล่าว  ยกตัวอย่าง มีรายงานว่า ไขมันอิ่มตัว ได้รับการพิสูจน์ว่า
ไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ  และข้อมูลที่ไม่ได้บอก คือ:

หากทดแทนไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ด้วยไขมันทรานซ์ (trans fat) หรือ
ทดแทนด้วยคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีให้ขาว (refinced carbs) จะไม่ทำ
ให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจลดลงเลย และ ไขมันทรานซ์ (trans fat)
นี้เอง ที่เป็นตัวทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้สูงขึ้น

นับเป็นเวลานานหลายปี  ที่ผู้บริโภคอย่างพวกเรา ได้รับการบอกกล่าวว่า
ให้แทนที่ไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ด้วยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต จะ
สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจ (CVD) ได้ เพราะอาหาร
ประเภทคาร์โบไฮเดรต สามารถลดปริมาณของไขมัน LDL cholesterol ใน
กระแสเลือดลงได้

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผลจากการวิจัย ชี้แนะว่า การทดแทนไขมันอิ่มตัวด้วย
คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี (refined carb.) จะไม่ให้เกิดประโยชน์ แต่อาจ
เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ CVD ได้มากกว่าการรับประทาน
อาหารที่เป็นไขมันอิ่มตัวเสียอีก

แม้ว่า คาร์ไฮเดรตที่ผ่านการขัดเกลา (refined carb.) นอกจากลดระดับ
ไขมัน LDL cholesterol แล้ว ยังสามารถลด HDL cholesterol  และเพิ่มระดับ
ไขมัน Triglycerides ด้วย  นอกจากนั้น มันยังเพิ่มการเกิดเส้นเลือดแข็ง
(atherosclerotic) และเพิ่มไขมัน LDLชนิดโลเลกุลชนิดแน่น และเล็ก ซึ่ง
เป็นชนิดที่ทำให้เกิดเส้นเลือดแข็ง

การทดแทนอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรตชนิดขัดเกลาด้วยอาหารประเภทเดิม
แต่ไม่ผ่านการขดเกลา (unrefined) หรืออาหารที่มีไขมันมัน (fat) จะเพิ่ม
ไขมัน LDL_C ชนิดโมเลกุลขนาดใหญ่, ไม่แน่น (large,fluffy LDL particles)
ซึ่งไม่ทำให้เกิดเส้นเลือดแข็งตัว

แม้ว่าผลจากการศึกษาพบว่า  การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่าน
การขัดสีสูง (runrefined) ร่วมกับอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ใน
ปริมาณต่ำ  จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ (CVD) แต่เราจำเป็นต้อง
ได้รับการวิจัยมากกว่านี้

นอกจากนั้น เรายังพบว่า อาหารคาร์ไฮเดรตที่ให้ Glycemic Index  ต่ำ จะมี
ประโยชน์เหมือนกับอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการขัดเกลา

จากความเห็นของ Dr. Francesca Crowe หนึ่งในผู้ร่วมงานของ Dr. Chowdhury
ได้ให้ความเห็นว่า จากหลักฐานที่ไดจากการศึกษา (randomized controlled
trials) ชี้ให้เห็นว่า การรับประทานไขมันอิ่มตัว (saturated fat) จะส่งผลต่อ
ระดับของ cholesterol ในกระแสเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เกิด
โรคหัวใจ  ดังนั้น แนวทางในการปฏิบัติยังคงแนะนำเหมือนเดิม นั้นคือ ให้ลดการ
รับประทานอาหารประเภทไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ลง ซึ่งได้รับการสนับสนุน
จาก Dr. Martijn Katan (ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร และโรคหัวใจ) โดยกล่าวว่า:

“จากการศึกษาด้วยการให้คนรับประทานไขมันชนิดต่างๆ นับเป็นจำนวนหลายร้อย
พบว่า การรับประทานไขมันอิ่มตัว (saturated fat) จะเพิ่มระดับ cholesterol
ให้สูงขึ้น โดยไม่มีใครเถียงได้”

Dr. Kartan ยังให้ความเห็นต่ออีกว่า:
การรับประทานอาหารตามรูปแบบของชาวยุโรป โดยรับประทานอาการประเภทะนื่อ
และอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงเสร็จในจำนวนสูง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
หัวใจ...ส่วนการรับประทานอาหารที่ใยสารอาหารสูง, อาหารประเภทพืชทั้งหลาย
อันได้แก่: ธัญพืชเต็มเม็ด (whole grain), ถั่วฝักยาว (legumes), ผลไม้ (fruits),
และผลไม้เปลือกแข็ง (nuts) จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดโรคหั้วใจตามที่เรากลัว

<<BACK

อ้างอิง:


o http://plantbaseddietitian.com
o http://news.sciencemag.org

ข้อโต้เถียงเรื่องไขมันอิ่มตัว: P.2, Saturated fats controversies- continued

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 29, 2015

continued

นับตั้งแต่ปี 1990s ได้มีการวิเคราะห์ตามรูปแบบ meta-analysis โดยมีการ
ตรวจความสัมพันธ์ระหว่างไขมันอิ่มตัว และโรคหัวใจ CVD จำนวน 13 ชิ้น
ปรากฏว่า มีรายงาน 10 ชิ้น ได้เสนอผลงานว่า การรับประทานอาหารที่มี
ไขมันอิ่มตัว ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ CVD

ในปี 2010 Us Department of Agricultures Dietary Guideline Advisory
Committee ได้รวบรวมหลักฐานเอาไว้ว่า การรับประทานอาหารที่เป็นไขมัน
อิ่มตัว (saturated fat) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ CVD และโรค
เบาหวานประเภทสอง  และได้สรุปว่า การรับประทานไขมันอิ่มตัว saturate
fats จะเป็นอันตรายต่อการเกิดโรคหัวใจสูงมาก  แต่หากทดแทนไขมันอิ่ม
ตัวด้วยไขมันไม่อิ่มต้ว polyunsaturated fat เพียงแต่ 5%  สามารถลดความ
เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ CVD และเบาหวานประเภท 2 และยังทำให้คนเรา
ตอบสนองต่อ insulin ได้ดีขึ้น

ปี 2011 ได้มีการอภิปรายจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับไขมันอิ่มตัว (saturated fat)
และโรคหัวใจ CVD ได้สรุปเอาไว้ว่า:

“การทดแทนไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ด้วยไขมันไม่อิ่มตัว (polyunsaturated
fat) สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ (CVD) ... และจากการรับ
ประทานตามสะไตล์ของคนยุโรป ด้วยการทดแทนอาหารประเภทไขมันอิ่มตัว (SFA)
ด้วยไขมันไม่อิ่มตัว (PUFA) สามารถลดการเกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือด และลด
ระดับของไขมัน LDL cholesterol ในเลือดลง และลดโรคหัวใจจากหลอดเลือดได้
มากกว่า 2 – 3 %

ในปี 2012 Cochrane review:
ได้สรุปรายงานเอาไว้ว่า  การลดปริมาณไขมันอิ่มตัวในอาหารลง สามารถลดความ
เสี่ยงจากการทำให้เกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดลงได้ถึง 14 %

สุดท้าย ปี 2014 The American College of Cardioloy / American Heart
Association ได้กำหนดแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยการแนะนำให้รับ
ประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว 5 – 6% ของพลังงานที่ได้จากอาหาร (คาลอรี่)
ที่ได้รับในหนึ่งวัน  ซึ่งได้รับการสนับสนุนกันอย่างกว้างขวาง


<<BACK  NEXT >> P.3, Saturated fats controversies

ข้อถกเถียงเรื่องไขมันอิ่มตัว: Saturated fats controversies

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 29, 2015

เมื่อเช้าได้มีโอกาสฟังพ่อค้าขายน้ำเต้าฮู้ คนหนึ่ง
กล่าวด้วยความสงสัยว่า:

“ผมไม่แน่ใจว่า จะเอาอย่างอย่างไร ?”
“เรื่องอะไรหรือ ?” ผู้เขียนถามด้วยความสงสัย

“แต่ก่อนห้ามกินไขมันอิ่มตัวที่ได้จากเนื้อสัตว์...
แต่มาบัดนี้ มีคนบอกว่า ให้กินเนื้อสัตว์ที่มีมันได้
ไม่ต้องกลัวเหมือนสมัยก่อน”

“แล้วยังไงต่อ....ทุกคนในครอบครัวกินเนื้อหมูอย่างสบายใจแล้ว
ใช่ไหม ?”
ผู้เขียนถามด้วยความอยากรู้
“เชื้อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งครับ”
....

สำหรับผู้เขียนเองก็ได้รับ “ข้อความ” ทางไลน์จากแพทย์ สว.
สองท่านสองท่าน:
ท่านแรก: พูดเหมือนพ่อค้าขายน้ำเต้าฮู้ทุกประการ
ส่วนท่านที่สอง ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันั่นแหละ  บอกว่า ไขมันอิ่มตัว
ที่ได้จากเนื้อสัตว์ไม่ดีหรอก...ถูกความร้อนเมื่อไหร่กลายเป็น
ไขมันทรานซ์ (trans fat)) ขึ้นมาทันที เป็นอันตรายต่อหัวใจ
และเส้นเลือด...อย่ากินเป็นอันขาด !

ผู้เขียนถามว่า...ได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน ?
“จากเพื่อนที่ทำปริญญาเอกเรื่องไขมันอิ่มตัวเป็นการเฉพาะ”
เพื่อนตอบด้วยความมั่นใจ !

นั่นคือความสับสนที่เกิดขึ้นใกล้ตัว

อย่างไรก็ตาม เราได้รับการเตือนว่า ไขมันอิ่มตัว (saturated fats)
ซึ่งได้จากเนื้อสัตว์ ว่าเป็นสิ่งไม่ดีมาเป็นเวลานานนั้น สามารถทำให้เกิด
โรคหัวใจได้นั้น... มาบัดนี้ ได้เกิดมีการวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยมี
ความคิดเห็นต่าง ที่ได้จากการศึกษา ซึ่งได้ชี้แนะเอาไว้ว่า ไขมันอิ่มตัว
ไม่เป็นอันตรายต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจก็ได้ โดยมีผลจากการศึกษา
สองชิ้น....

การศึกษาชิ้นแรก (2010) เป็นการศึกษาของ Siri-Tarino และพวก
ได้ทำการวิเคราะห์ (meta-analysis) จากผลการศึกษา 21 ชิ้น
ซึ่งได้ทำการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่าง ไขมันอิ่มตัว และโรคหัวใจ
จากหลอดเลือด (CVD) ในคนเกือบ 350,000 ราย

การศึกษาชิ้นที่สอง (2014) เป็นการศึกษาของ Chowdhury และพวก
ทำการวิเคราะห์แบบ met-analysis เช่นกัน โดยทำการศึกษาในคน
จำนวนมากกว่า 510,000 คน

ผลที่ได้จากการศึกษาทั้งสอง ต่างได้ผลขัดแย้งกับสิ่งที่พวกเราได้รับ
คำเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านอาหาร โดยกล่าวว่า:
การรับประทานไขมันอิ่มตัว ไม่มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับการทำให้
เกิดโรคหัวใจ

จากข้อคิดเห็นดังกล่าว  ทำให้เกิดการกระจายจ่าวทางโซเซียลมีเดีย
กันอย่างกว้างขวาง และเป็นเหตุให้ผู้บริโภคทั้งหลาย ต่างหันกลับมา
รับประทานเนื้อสัตว์, เนย, หมูเบคอนด้วยความสบายใจ


NEXT>> P.2, Saturated fats controversies

ไขมันอิ่มตัว เป็นอาหารที่ดีสำหรับท่านจริงหรือ ? P.2 . continued

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 20, 2015

continued

ท่านเชื่อหรือไม่ว่า...
มันเป็นน้ำตาลที่เรารับประทานในปริมาณมากนั้นเอง ที่ทำให้เกิดไขมัน
สะสมในบริเวณรอบเอว!

จากสถิติที่ได้รับเมื่อไม่นานมานี้ พบว่า คนอเมริกันโดยเฉลี่ย จะรับประทาน
น้ำตาล 132 ปอนด์ต่อปี และจากการรับประทานน้ำตาลสูงของกลุ่มคนดังกล่าว
ได้เป็นเหตุให้เพิ่มการอักเสบในระดับเซลล์ และทำให้เกิดความเชื่อว่า
นั้นคือต้นเหตุให้เกิดความอ้วน และโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น ?

จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ราพบความจริงว่า อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจ,
สมอง และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย คือ อาหารประเภทผัก, ผลไม้, โปรตีนใน
ปริมาณมากหน่อย และอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการเปลี่ยนแปลง
ให้สะอาดในปริมาณพอประมาณ

นอกจากนั้น เรายังจำเป็นต้องได้รับอาหารประเภทไขมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว,
อะโวคา, ถั่ว และพวกเมล็ดพืช และไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์
ซึ่งพบได้ดีที่สุด คือ ไข่, ไก่, วัว และปลา

ผลจากการศึกษาของ Aseem Malhotra (cardiologist)  ผู้ทำการศึกษาเกี่ยว
กับ “Observations from Your Heart” พบว่า ไขมันอิ่มตัว (saturated fat)
ไม่ใช่ปัญหา แต่การรับประทานอาหารประเภทไขมันอิ่มตัวต่ำต่างหาก จะเพิ่ม
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค...

และจากข้อมูลที่พบ เป็นเหตุให้หมอ Aseem Malhotra บอกกับทุกคนให้
ทำความได้ทราบว่า  จากการรับประทานไขมันต่ำนั้น ได้มีการเพิ่มน้ำตาล และ
เกลือเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติให้กับอาหารที่เรารับประทาน น้ำตาลนี้เองที่เป็น
ตัวอันตรายต่อสุขภาพของหัวใจได้มากกว่าไขมันอิ่มตัว (saturated fat)

ที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับข้อคิดเห็นของนักวิจัยจากอังกฤษ ซึ่งมีความ
เห็นต่างจาก Dr. Keys เจ้าของทฤษฎีให้รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ

<<BACK

อ้างอิง

o www.huffingtonpost.com


ไขมันอิ่มตัว เป็นอาหารที่ดีสำหรับท่านจริงหรือ ? P. 1

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 20, 2015

กาลามสูตร...หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่พวกชาวพุทธศาสนิกชน ต่างถือเป็นหลักปฏิบัติ คงสามารถช่วยให้เรา
ตัดสินใจได้ว่า เราควรเชื่อความคิดเห็นของใครดี ระหว่างบทความของ
นักวิจัยจากอเมริกา และอังกฤษ:

ในความความคิดเห็นของ Keys’ ผู้ทรงอิทธิพลในสหรัฐฯ ที่สามารถทำให้
รัฐบาลของเขา และคนทั่วโลกคล้อยตามว่า ไขมันสูง หรือ saturated fats
เป็นตัวการทำให้เกิดโรคหัวใจ

ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นชาวอังกฤษ เช่น Krauss, Oliver, Malhotra และอื่น ๆ
ต่างได้พบหลักฐานว่า  ทฤษฎีของนาย Keys’ ที่ว่า เป็นทฤษฎีไม่ถูกต้อง...

พวกเขาว่าอย่างนั้น...
และหากความคิดเห็นของกลุ่มที่สองถูกต้อง คงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในวงการแพทย์อย่างขนานใหญ่อย่างแน่นอน

สำหรับพวกเราที่เป็นกลุ่มเสพข่าว...
ให้ใช้หลักของพระพุทธเจ้า (กาลามสูตร) พิจารณาเอาเองว่า
ท่านจะเชื่อใครดี:

บทความใหม่ที่ลงตีพิมพ์ใน The British Medical Journal (BMJ) ได้ประกาศ
ให้ชาวโลกได้รับทราบว่า  “ไขมันอิ่มตัวไม่เป็นตัวการทำให้เกิดโรคหัวใจ” อิกต่อไป

ข้อมูลเรื่องนี้...
ได้รับการพิจารณามาเป็นเวลานาน
จนกระทั้งปัจจุบัน มีข้อมูลทีเชื่อถือได้  ต่างสนับสนุนข้อคิดเห็นดังกล่าวว่า:
“ไขมัน ไม่ใช่ศัตรูที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือด, น้ำหนักเพิ่ม, สุขภาพสมอง,
และอื่นๆ อีกมากมายอีกต่อไป...แต่เป็น “น้ำตาล” ที่พวกเราไม่ค่อยนึกถึงได้
กลายเป็นผู้ร้ายแทน

ไม่เพียงเท่านั้น...
น้ำตาลยังเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการอักเสบ (inflammation) ทั่วร่างกาย
ซึ่งได้เพิ่มอันตรายต่อการเกิดโรคหัวใจ-เส้นเลือด และโรคอื่นๆ อีกมากมาย
หากไม่เชื่อ ท่านลองหันไปพิจารณาดูอาหารต่างๆ ที่มีขายในท้องตลาด ที่โฆษณา
ว่า มีไขมันต่ำดูเป็นต้นว่า ขนมคุกกี่(cookies) และขนมหวานที่ผลไม้ยัดไส้ (muffin)

หากเราอ่านแผ่นฉลากที่ติดมาพร้อมกับอาหาร เราจะพบว่า มีน้ำตาลเพิ่มลงไป
ในอาหารแทบทุกชนิด โดยเฉพาะพวกอาหารไขมันต่ำ จำเป็นต้องเพิ่มน้ำตาล และ
เพิ่มเกลือเข้าไป...เพื่อทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น  และหากเราอ่านต่อไป เราจะพบว่า
อาหารทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่ม, และน้ำสลัด (salad dressing)...
ต่างเพิ่มน้ำตาลเข้าไปแทบทั้งนั้น

มาถึงจุดนี้  เราไม่ควรหลอกตัวเองอีกต่อไปว่า อะไรคือสาเหตุทำให้คนเราอ้วน
และคำตอบคือ น้ำตาลนั้นเอง

จากข้อมูลที่ลงตีพิมพ์ใน JAMA (2014) เป็นเรื่องที่ควรได้รับการพิจารณา:

o น้ำตาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงกับการทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจ
ถูกทำลาย (heart attack) และโรคสมองเสื่อม (dementia) รวมถึงภาวะ
อักเสบทั่วไป (inflammation), Insulin resistance & diabetes type 2,
โรคอ้วน (obesity), โรคตับ, โรคไขข้ออักเสบ,ไขมัน HDL cholesterol ลดลง,
Triglycerides สูงขึ้น และมีโอกาสเกิดโรคมะเร็ง เป็นต้น

o คนที่รับประทานน้ำตาลสูงๆ มีโอกาสทำให้เกิดความเสี่ยงต่อ heart attack
ได้มากกว่าคนที่รับประทานน้ำตาลต่ำ และ The American Heart Association
ได้ชี้แนะเอาไว้ว่า คนเราควรรับประทานน้ำตาลเพียง 5 -7.5 % ของพลังงาน
ที่ได้จากอาหารทั้งหมดต่อวัน (total calories intake/day)

o หากท่านดื่ม soda 20 ออนซ์ สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ heart
attack ได้ 30 % และ

o ถ้าท่านรับประทานน้ำตาล 20% ของ total calories intake ท่านมีความ
เสี่ยงต่อการเกิด heart attack ถึงเท่าตัว


NEXT >>P.2 continued

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความเห็นต่างในไขมันอิ่มตัว (SATURATED FATS) :P.2, PROS AND CONS IN SATURATED FATS

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
APRIL 15, 2015


continued….

ความกลัวของคนเราที่มีต่อไขมันอิ่มตัว (saturated fats)
ได้เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1950s  โดยนักพยาธิวิทยาชื่อ Ancel Keys จาก
มาหวทิยาลัย Minnesota, สหรัฐฯ...โดยเขาได้เป็นผู้เสนอว่า การที่มีระดับ
cholesterol ในกระแสเลือดที่สูงขึ้น เป็นเหตุสำคัญให้เกิดโรคหัวใจ

เนืองจากนาย Keys มีความสามารถในการโน้มน้าวผู้ฟังให้คล้อยตาม และได้
ปลูกฝังความคิดให้แก่ผู้คนในหน่วยงาน The American Heart Association ว่า
อาหารที่ดี มีประโยชน์ และสามารถต่อสู่กับโรคหัวใจได้นั้น จะต้องเป็นอาหาร
ที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำเท่านั้น

ในปี 1977 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ลงมติยอมรับข้อคิดเห็นเกี่ยวกับอาหารที่เป็น
ประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจ (heart health diet) ว่า จะต้องเป็นอาหารทีมี
ปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำซึ่งทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างเห็นคล้อยตาม...

แต่ในขณะเดียวกัน  ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นว่า ผลการศึกษาของนาย Keys ไม่
น่าจะถูกต้อง  เพราะผลงานที่ได้ มีการทำลายแบบแผนอันเป็นสากลหลายประการ
เป็นตันว่า เป็นการศึกษาที่ไม่มีการซุ่มตัวอย่าง แต่จะเลือกทำการวิจัยเฉพาะ
กลุ่มคนที่สนับสนุนงานของนาย Keys เท่านั้น เช่น เลือกศึกษาจากลุ่มคนที่อยู่
ใน Yugoslavia, Findland และ Italy แต่ปฏิเสธที่จะพิจารณาข้อมูลที่ได้จาก
การศึกษาในคนที่อาศัยในประเทศที่อัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำ ทั้งๆ ที่ประชาชน
ในประเทศดังกล่าวรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น France, Switzerlan,
Sweden, และ West Germany

นักวิจัยจากอังกฤษ...Mr. Oliver และคนอื่น ๆ ได้ชี้ให้เห็นหลักฐานมากมายจาก
ทั่วโลก ที่มีความเห็นตรงข้ามกันความคิดเห็นของ Mr. Keys ยกตัวอย่าง...

ผลของการศึกษาในนักรบ (Masai wariors) จาก Kenya (1970s) ซึ่งไม่เคย
รับประทานอาหารประเภทผัก แต่รับประทานอาหารประเภทเนื้อ (Meat), นม (milk),
และเลือด (Blood)... ปรากฏว่า พวกเขามีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ, ระดับไขมัน
cholesterol ในกระแสเลือดไม่สูง  และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำมาก

ผลการศึกษาจากประเทศอินเดีย...
นักวิจัยได้ศึกษาจากคนงานทางรถไฟจำนวนล้าน...พบว่า กลุ่มคนที่อาศัยอยู่
ทางเหนือของประเทศ รับประทานอาหารที่เป็นไขมัน (8 – 18%) มากกว่ากลุ่ม
คนที่อยู่ทางใต้ของประเทศ ปรากฏว่า กลุ่มคนที่อยู่ทางเหนือมีอายุยืนยาวกว่า
คนทางใต้โดยเฉลี่ย 12 ปี ...

จะเห็นว่า ผลงานการวิจัยของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษ จะมีความเห็นขัด
แย้งกับความเห็นของนาย Keys ทุกประการ...


<<BACK

อ้างอิง:
o www.independent.co.uk

ความเห็นต่างในไขมันอิ่มตัว (SATURATED FATS) : P.1, PROS AND CONS IN SATURATED FATS

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
APRIL 15, 2015

เมื่อนาย RONALD M KRASUSS ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานที่อ้างว่า
ไขมันอิ่มตัว (SATURATED FATS) ไม่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคหัวใจนั้น ได้ทำให้
อาชีพของเขาตกอยู่ในความเสี่ยงทันที  เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับ
แนวหน้าด้านโภชนาการของสหรัฐฯ  เมื่อเขาเกิดมีความเห็นขัดแย้งกับคำแนะนำที่ว่า
ไขมันอิ่มตัวที่ได้จากเนื้อสัตว์, เนยเข็ง (CHEESE)  และ เนยเหลว (BUTTER)...
เป็นสิ่งไม่ดีสำหรับสุขภาพนั้น  เขาเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

การท้าทายต่อความเชื่อของสาธารณชนในเรื่อง “อาหารประเภทไขมัน” ว่า  ที่เขา
เชื่อนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องนั้น ถือเป็นการฆ่าตัวตายอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถ
ทำลายชื่อเสียง และอาชีพของตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  โดยเฉพาะ
เรื่องไขมันอิ่มตัว....

ถึงกระนั้นก็ตาม  MR. KRAUSS ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลในปี 2010 ว่า
ไขมันอิ่มตัว หรือ SATURATED FATS ไม่ใช้สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ

ในขณะเดียวกัน มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน CAMBRIDGE และ HARVARD
ได้สรุปผลออกมา...และสนับสนุนผลงานของนาย KRAUSS ซึ่งถือเป็นผลงานที่สร้าง
ฮือฮาให้กับคนทั่วไป...โดยก่อนมา คนทั่วไปต่างได้รับการบอกเล่าว่า ไขมันอิ่มตัว
SATURATED FAT) ได้ถูกตัดสินว่าเป็นสิ่งเลวร้ายมานานหลายทศวรรษ


NEXT>> P.2,  PROS AND CONS IN SATURATED FATS

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความจริงเกี่ยวกับไขมันอิ่มตัว ?: P. 2, About Saturated Fats ... Continued

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 30, 2015

continued…

ในสมัยก่อน...
เราได้รับคำแนะนำสั่งสอนมาว่า “อย่าได้เชื่อตามที่เขาบอก
เราต้องนำเอาข้อมูลที่ได้รับฟังมาพิจารณาใคร่ครวญอย่างรอบครอบ และหาก
เป็นไปได้  ควรนำไปพิสูจน์ หรือทดลองแล้วดูผลที่เกิดขึ้นว่า เป็นจริงหรือไม่...
แล้วค่อยมาว่ากัน !

ข้อมูลที่นำเสนอในวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน  แม้ว่าจากผลการศึกษาบอกว่า
ไขมันอิ่มตัวไม่มีความสัมพันธ์กับการทำให้เกิดโรคหัวใจก็ตามที ก็ไม่ได้หมาย
ความว่า มันเป็นสัญญาณ “ไฟเขียว”  อนุญาตให้ท่านรับประทานอาหารต้องห้าม
อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (butter, steak และ cheese) อย่างไม่บันยะ บันยัง...
แต่ต้องท่านต้องรับประทานอย่างระมัดระวังในปริมาณที่พอควร จนกว่า  เรา
จะได้ข้อมูลที่ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับกันเสียก่อนว่า ไขมันอิ่มตัวปลอดภัยจริง

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจที่ดีที่สุด น่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่
ไม่ใช่อาหารปรุงสำเร็จ อาหารทอด...แต่ควรเป็นการรับประทานอาหารประเภท
ปลา (fish), พืชจำพวกถั่ว (beans), ผลไม้ (fruits), ผัก (vegetables) ,ข้าว
ที่ไม่ผ่านการขัดสี (brown rice), ผลไม่เปลือกแข็ง (nuts), น้ำมันพืช (vegetable oils),
น้ำมันมะกอก (olive oil) และไขมันอิ่มตัวในปริมาณไม่มาก

สิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม!
ไม่เพียงอาหารอย่างเดียวหรอกที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจ แต่ยังมี
ปัจจัยอย่างอื่นๆ ที่เป็นเหตุให้เกิดโรคหัวใจได้ เป็นต้นว่า  พันธุกรรม, พฤติกรรม
เช่น การสูบบุหรี่, การออกกำลังกาย และความเครียด ต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
การทำให้เกิดโรคหัวใจได้ทั้งนั้น


<< BACK

อ้างอิง:

o www.webmd.com
o www.heart.org.

ความจริงเกี่ยวกับไขมันอิ่มตัว ?: P. 1, About Saturated Fats

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 30, 2015


นับเป็นเวลานานหลายทศวรรษแล้วกระมัง...
ที่พวกเราได้รับคำเตือนให้ระมัดระวังในเรื่องการรับประทานพวกไขมันอิ่มตัว
ซึ่งเป็นอาหารที่ได้จากเนื้อสัตว์, เนยแข็ง (cheese), และผลิตภัณฑ์นมทั้งหลาย
เพราะมันสามารถนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจได้

และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าว  เราควรเลือกรับประทานไขมันที่เป็น
ประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยสามารถหาได้จากผลไม้เปลือกแข็งทั้งหลาย (nuts),
เมล็ดพืช (seeds), ปลา (fish), และผักต่างๆ (vegetables)

แต่จากการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้  ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อดังกล่าว โดย
ผลที่ได้จากการตรวจสอบข้อมูลการศึกษาจำนวน 72 ชิ้น พบว่า ไม่พบความ
สัมพันธ์ระหว่าง ไขมันอิ่มตัว (saturated fat) กับ โรคหัวใจเลย (heart disease)
นอกจากนั้น ยังปรากฏว่าไขมันไม่อิ่มตัว (monounsaturated fat) เช่น น้ำมัน
มะกอก (olive oil), และน้ำมันที่ได้จากผลไม้เปลือกแข็ง (nuts) และผลอะโวคาโด
(avocado) ไม่สามารถการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจตามที่กล่าวอ้าง

ประมาณ 5 ปีก่อนหน้านี้ ได้มีผลของการวิจัย ซึ่งสนับสนุนข้อคิดเห็นตามที่กล่าวมา
โดยไขมันอิ่มตัวไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเหมือนที่เราได้รับทราบมา เพราะมันไม่มีความสัมพันธ์
กับการทำให้เกิดโรคหัวใจ...

อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่เราได้อ่าน และได้รับทราบมา ไม่ใช้คำตอบสุดท้าย...
เพราะ ไม่ทุกคนหรอกที่ยอมรับว่า ไขมันอิ่มตัวไม่มีอันตราย ! โดยเฉพาะสมาคม
ใหญ่อย่าง The American Heart Association ยังคงยืนยันว่า ไขมันอิ่มตัวที่ได้จาก
เนื้อสัตว์นั้น สามารถทำให้ท่านเป็นโรคหัวใจ


NEXT >> P. 2, About Saturated Fats ... Continued