adsense

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

Abdominal pain and Bradycardia

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 13,2015

ผู้เขียนจัดอยู่ในประเภทที่มีสุขภาพเกือบสมบูรณ์ที่สุด เกิดมี่เหตุการณ์อย่างหนึ่ง
ทำเอาทุกคนที่ได้พบเห็น  รวมทั้งผู้เขียนเองต่างตกใจ...จึงอยากนำเสนอให้เพื่อนๆ 
ทั้งหลายทีมีความห่วงใยในสุขภาพของตนเองได้รับทราบ 
ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย

ผู้เขียนมีอายุ 77 ปี, มีน้ำหนักเกินกว่าปกติ โดยมีดัชนีมวลกาย (BMI) 31 ควบคุมรับ
ความดันโลหิตให้อยู่ระหว่าง 110 – 120 mm Hg ด้วยยา madiplot และ Losartan
และรักษาต่อมลูกหมากโตด้วย Harnal ocas® (tamsulosin HCL)

ผู้เขียนงดดื่มแอลกอฮอล และเลิกสูบบุหรี่มาหลายสิบปี… ออกกำลังกายทุกวัน ๆ ละ
หนึ่งชั่วโมง ตามรูปแบบ circuit exercise โดยรอบของการออกกำลังกายจะประกอบ
ด้วย การวิดพื้น, ยกน้ำหนัก, จอกกิ่ง, สวิงลูกกอล์ฟระยะ 50 เมตร ด้วย Lob wedge
ก่อน  และหลังบริหารร่างกายมีการ warm up & Cool down 5 นาที

ในวันที่รู้สึกตัวไม่สบาย  ผู้เขียนได้รับประทานอาหารเย็นที่มีรสเผ็ดพอประมาณ (ซึ่ง
นานๆ ครั้งจะรับประทานทีหนึ่ง) พอตกกลางคืน ประมานสองทุ่มขณะดูละครทีวี เกิด
มีความรู้สึกปวดท้องทั่วไป เหมือนอาหารไม่ย่อย (dyspepsia) คิดว่าไม่นานอาการ
คงหาย แต่เวลาผ่านไปเกือบถึงเที่ยงคืน อาการยังทรง พร้อมกับเกิดอาการคลื่นไส้
และอาเจียน  ทำให้เกิดความสงสัยว่า...เอะ!  ดูท่าจะไม่ใช้ปวดกระเพาะธรรมดา
เสียแล้วซิ ? 

ผู้เขียนจึงชวนภรรยาไปโรงพยาบาล (ห้องฉุกเฉิน) เพื่อขอตรวจดูคลื่นหัวใจ ดูว่า
เราเป็นโรคหัวใจเหมือนกับที่เคยสอนให้คนไข้หรือเปล่า ?

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล  ผู้เขียนได้บอกให้พยาบาลตรวจคลื่นหัวใจทันที...ซึ่ง
พยาบาล เธอก็ปฏิบัติอย่างฉับไว  ไม่รอช้า จัดการตรวจ EKG ให้ตามที่ขอ

“หัวใจของคุณหมอเต้นช้านะ...”
“เท่าไหร่ ?” 
“50 ครั้ง / นาที”

พยาบาลที่ทำการตรวจ EKG  เป็นคนบอก  พร้อมกับตระโกนบอกให้แพทย์ที่
ประจำห้องฉุกเฉินด้วยความตกใจ เมื่อหัวใจเต้นช้าเรื่อย ๆ จาก 50  - 45 -
 40 ---35 ----30  ----- 28

ไม่ใช้เรื่องปกติเสียแล้วซิ !

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ  ได้รับแจ้งให้ทราบทางโทรศัพท์ทันที
พร้อมกับได้ยินเสียงมาตามสายว่า  “อาการที่เกิดเป็นผลมาจาก “Vagal effect”
พร้อมกับสั่งให้พยาบาลฉีดยา atropine (anticholinergic drug) เข้าเส้น และ
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารให้แก่ผู้เขียน

ภายหลังการได้รับยาฉีด...การเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ เต้นเหมือนปกติใน
เวลาไม่นานนัก  แต่อาการปวดท้องยังทรง แม้จะได้รับยาแก้ปวดท้องแล้ว
ก็ตาม

ในการไปห้องฉุกเฉินครั้งนั่น ได้รับการตรวจเลือดทุกอย่าง รวมทั้งเอ็นไซม์ของหัวใจ 
ปรากฏว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ

วันรุ่งขึ้น  ก่อนกลับบ้าน ผู้เขียนถามแพทย์รุ่นน้องที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจว่า:
ผมเป็นโรคอะไรกันแน่ ?
แพทย์ก็ตอบว่า  เป็นโรคกระเพาะอาหาร และหัวใจเต้นช้า (gastritis and bradycardia) 
ซึ่งเกิดได้ไม่บ่อยนัก  แพทยทั่วไปบางท่านอาจไม่ทราบด้วยซ้ำไป

จากการไม่สบายครั้งนี้  ผู้้่เขียนได้ตั้งใจว่า เมื่อกลับถึงบ้านจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับ
เรื่องดังกล่าว  เพื่อเขียนเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ที่สนใจในสุขภาพได้อ่านกัน

วันนี้ขอจบลงแต่เพียงแค่นี้...

Next >> Roemheld Syndrome

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น