adsense

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

เมื่อเชื้อไวรัสลงกระเพาะ-ลำไส้ : P.5, Viral gastroenteritis : Treatment

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 23, 2015

โดยทั่วไป เราไม่มีวิธีการรักษาโรค viral gastroenteritis เป็นการเฉพาะ
ยาปฎิชีวะนะจะไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ และ
หากใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป  สามารถทำให้เชื้อแบคทีเรียด้านยาได้ และ
ในการรักษา  เริ่มแรกจะเป็นการช่วยเหลือตนเอง อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ

<<BACK

อ้างอิง

o Up to date
o Mayoclinic

เมื่อเชื้อไวรัสลงกระเพาะ-ลำไส้ : P.4, Viral gastroenteritis : Diagnosis

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 23, 2015

โดยทั่วไป แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรค viral gastroenteritis ด้วยการอาศัย
ข้อมูลที่ได้จากอาการแสดง และการตรวจร่างกาย และบางครั้งจะพบคนไข้
ที่เป็นโรคดังกล่าวปรากฏในชุมชนเดียวกัน

การตรวจอุจจาระหาเชื้อ rotavirus หรือ norovirus อย่างรวดเร็ว แต่เราไม่มี
การตรวจที่กระทำได้รวดเร็วสำหรับเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ
และลำไส้อักเสบได้ และในบางราย  แพทย์อาจต้องทำการตรวจอุจจาระ
เพื่อแยกเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อปรสิตที่ทำให้เกิดการอักเสบ...

<<BACK   NEXT>> P.5, Viral gastroenteritis : Treatment

เมื่อเชื้อไวรัสลงกระเพาะ-ลำไส้ : P.3, Viral gastroenteritis : Causes

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 23, 2015

คนเราสามารถสัมผัสกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ-ลำไส้อักเสบได้
โดยผ่านทางการรับประทานอาหาร, หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือร่วม
รับประทานอาหารกับคนติดเชื้อ  ซึ่งมีเชื้อไวรัสหลายตัวที่สามารถทำให้
เกิดกระเพาะ-ลำไส้เกิดการอักเสบได้ เช่น

Noroviruses: ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กสามารถเกิดการอักเสบจากเชื้อตัวนี้
ซึ่งส่วนใหญ่จะผ่านทางอาหาร ซึ่งสามารถพบได้ทั่วโลก โดยมีการแพร่
กระจายผ่านสมาชิกครอบครัว หรือในชุมชน

Rotavirus: พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะพบได้มากที่สุดในเด็ก โดยสัมผัส
เชื้อทางนิ้วมือ...เข้าทางปาก
หอยบางอย่าง เช่นหอยนางรมที่ได้รับประทานแบบดิบ สามารถทำให้ท่านติดเชื้อได้


<< BACK     NEXT>> P.4, Viral gastroenteritis : Diagnosis

เมื่อเชื้อไวรัสลงกระเพาะ-ลำไส้ : P.2, Viral gastroenteritis : Symptoms

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 23, 2015
เนื่องจากโรค viral gastroenteritis สามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะ
หากเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก, คนสูงอายุ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และ
จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เขียนเอง โดยเฉพาะอาการอาเจียนที่เกิด
ขึ้นมันรุนแรงมากถึงขั้นทำให้ผู้พบเห็น และตัวผู้เขียนเองต่างตกใจไปตามกัน

แม้ว่า โรค viral gastroenteritis จะถูกเรียกว่า stomach flu แต่ไม่เหมือน
โรคไข้หวัดใหญ่ (influenza) ซึ่งมีผลกระทบต่อทางเดินหายใจ...จมูก, ลำคอ
และปอด  ส่วนโรค viral gastroenteritis เชื่อไวรัสจะจัดการโจมตีกับลำไส้
เป็นเหตุทำให้เกิดอาการแสดง และอาการดังต่อไปนี้:

§  ถ่ายเป็นน้ำ ไม่เป็นเลือด หากมีการถ่ายเป็นเลือด ส่วนใหญ่จะเรื่องที่แตก
    ต่างออกไป และมักจะมีความรุนแรง
§  มีอาการปวดปวดท้อง (abdominal cramps and pain)
§  คลื่นไส้ และอาเจียน
§  ปวดกล้ามเนื้อ และปวดศีรษะเป็นบางครั้ง
§  มีไข้ต่ำ

อาการของคนที่เป็นโรค viral gastroenteritis อาจปรากฏภายในหนึ่ง ถึงสามวัน
หลังจากเกิดการอักเสบ  โดยอาจมีอาการตั้งแต่เพียงเล็กน้อย ถึงรุนแรงมาก
และมักสิ้นสุดลง (หาย) ภายในหนึ่ง ถึงสองวัน แต่อาจเป็นนานถึง 10 วัน

เนื่องจากอาการต่างๆ อาจมีความคล้ายกับโรคท้องงร่วงชนิดอื่น ซึ่งอาจทำให้เกิด
สับสนระหว่างท้องร่วงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (clostridium fifficile), salmonella 
และ E. coli, หรือจากเชื่อปรสิต (giardia)


BACK  NEXT>> P.3, Viral gastroenteritis : Causes

เมื่อเชื้อไวรัสลงกระเพาะ-ลำไส้ : P.1, Viral gastroenteritis

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 23, 2015

ในช่วงหนึ่งของชีวิตของคนเรา  จะต้องมีโอกาสเกิดโรคท้องร่วงอันมีสาเหตุ
จากเชื้อไวรัสกันทุกคน โดยทำให้เกิดมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง พร้อม
กับมีอาการท้องร่วง..อุจจาระเป็นน้ำ และอาการอย่างอื่น ๆ...

ไวรัสลงกระเพาะ และลำไส้ หรือท่านจะเรียกว่า กระเพาะลำไส้อักเสบจากการ
ติดเชื้อไวรัส  โดยท่านจะเรียกว่า  Viral gastroenteritis หรือ stomach flu ได้
ตามอัธยาศัย...ซึ่งมักเกิดจากการสัมผัสคนที่เป็นโรค หรือโดยรับประทานอาหาร
หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค

โดยทั่วไป ถ้าท่านเป็นคนมีสุขภาพแข็งแรงดี มันสามารถหายได้ โดยไม่เกิด
ภาวะแทรกซ้อนแต่ประการใด แต่หากเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก หรือคนสูงอายุ หรือ
เกิดในคนที่มีภูมิต้านทางต่ำ...การเกิดโรคดังกล่าวสามารถทำให้คนเสียชีวิตได้
ถือเป็นโรคที่น่ากลัวโรคหนึ่ง

เราไม่มีการรักษาโรคดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น การป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยสามารถกระทำได้ด้วยการเลี่ยง
ไม่รับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค และที่สำคัญต้องล้างมือให้
สะอาด...

 


NEXT>> P.2, Viral gastroenteritis : Symptoms

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

ทำไมฉันคลำชีพจรไม่ได้ ... Pulse Strength Variation


นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 8, 2015

กระทาชายนายหนึ่ง วัย 60s มาพบแพทย์ด้วยสีหน้ากังวลใจ  พร้อมกับคำถามว่า
“ทำไมผมคลำชีพจรไม่ได้....?”

ชีพจรทีเราสัมผัสได้ หรือคลำได้ตรงบริเวณข้อมือ สามารถนำมาพิจารณาได้ว่า
หัวใจของคนเราทำงานได้ดีมากน้อยแค่ใด โดยมีผู้เชี่ยวชาญหลายนายแบ่งชนิด
ของชีพจรตามความแรง และรูปแบบที่คลำได้

ในกรณีที่ชีพจรที่เต้นแรงดี หรือมีลักษณะเบา หรือคลำไม่ได้เลย
สามารถนำมาพิจารณาช่วยวินิจฉัยปัญหาของโรคหัวใจ และเส้นเลือดได้ทราบ
การปั้มเลือดของหัวใจอยู่ในสภาพใด

ความรู้พื้นฐานของชีพจร (Pulse Basics):
อย่างกล่าว ชีพจรจะบอกให้ทราบถึงการทำงานของหัวใจของท่านว่า หัวใจทำงาน
ได้แค่ไหน  โดยบอกให้เราทราบว่า หัวใจทำงานหนัก หรือทำงานปั้มเลือดไปเลี้ยงส่วน
ต่างๆ ของร่างกายได้ไม่พอกับความต้องการ

เมื่อเลือดถูกปั้มออกจากหัวใจผ่านเส้นเลือด  ในขณะที่เลือดวิ่งผ่านเส้นเลือดนั้นจะทำให้
เส้นเลือดที่มีความยืดหยุ่นดีจะขยายตัวออก และหดตัวลงในเป็นลักษณะ “เข้า-ออก”
เหมือนกับที่เราสัมผัสได้จากการคลำชีพจรที่บริเวณข้อมือ หรือบริเวณลำคอ  ซึ่งอาจมี
ลํกษณะเร็ว หรือช้า โดยขึ้นกับสุขภาพของท่านเป็นหลัก

จาก The University of Alabama at Birmingham กล่าวว่า นักกีฬาที่มีสุขภาพดีจะมี
ชีพจรเต้นช้า  โดยอาจวัดได้แค่ 40 ครั้ง ต่อนาที เมื่อเปรียบเทียบกับคนปกติที่วัดได้
60 -100 ครั้ง ต่อนาที  

ในกรณีที่ชีพจรของท่านวัดได้ 40 ครั้ง ต่อนาที  ท่านควรไปพบแพทย์ตรวจให้แน่ใจเสีย
ก่อนว่า ชีพจารของท่านอยู่ในสภาพปกติเสียก่อน
นอกจากนั้น เรายังพบว่า ความเร็วของชีพจรสามารถปรากฏในหลายรูปแบบ โดยขึ้นกับ
ระดับความดันโลหิตของท่าน, ภาวะทางอารมณ์, และภาวะทางร่างกายของท่านอยุ่ใน
สภาพเจ็บป่วยหรือไม่ ?

ชีพจรเบา (Weak Pulse):
เมื่อชีพจรเบาทำให้เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยการคลำ โดยสามารถเกิดขึ้นที่ในตำแหน่ง
ใดตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น  หรือปรากฏในทุกส่วนของร่างกาย  และตามปกติมันหมายถึงปัญหา
แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นปัญหาทุกรายไป ยกตัวอย่าง ท่านเป็นคนแข็งแรงดีทุกประการ
แต่คลำชีพจรไม่ได้...อาจเป็นเพราะการคลำชีพจรของท่านกระทำได้ไม่ถูกต้องก็ได้  หรือ
เป็นเพราะท่านมีชีพจรเบาทั้งๆ ที่ท่านเป็นคนแข็งแรงดี  หากไม่ใช้ทั้งสองกรณีที่กล่าว
ท่านจะต้องไปพบแพทย์ทันที  

ในกรณีชีพจรเบา บ่งบอกให้ทราบว่าถึงภาวะหัวใจวาย, หรือภาวะฉุกเฉินของคนเป็นโรค
เบาหวาน (น้ำตาลในเลือดลดต่ำ), ช็อค, มีลิ่มเลือดเกิดในเส้นเลือด, อาการเพลียแดด, 
เลือดตกภายในกาย, โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดแดง ซึ่งเป็นผลมาจากหัวใจไม่สามารถปั้มเลือด
ผ่านเส้นเลือดแดงได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรได้รับการเยียวยาอย่างรีบด่วน

อ้างอิง

o www.foundmyfitness.com

Complex regional Pain stndrome (CRPS) P.6: Treatment & Drugs

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 10, 2015

ในการรักษาคนที่เป็นโรค CRPS…
หากได้รับการรักษาในระยะแรกของการเกิดโรคเพียงไม่กี่เดือน
ที่มีอาการ อาจดีขึ้นได้ โดยส่วนใหญ่เป็นการรักษาที่ประสมประสานกัน
ระหว่างวิธีการต่าง ๆ ซึ่งแพทย์จะปรับให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละราย

การรักษาประกอบด้วย: ยารักษา (Medications)
แพทย์จะใช้ยาหลายอย่าง เพื่อรักษากลุ่มอาการ CRPS ดังนี้:

ยาแก้ปวด (Pain relievers) แพทย์สามารถใช้ยาแก้ปวด  ซึ่งสามารถ
หาได้จากร้านขายยา  เช่น aspirin, ibuprofen, และ naproxen อาจลดอาการ
อักเสบลงได้  ในรายที่มีความรุนแรง  อาจจำเป็นต้องใช้สาร opioid ในขนาด
ที่เหมาะสมสามารถช่วยเหลือคนไข้ได้

ยารักษาภาวะซึมเศร้า (antidepressants) และยารักษาอาการชัก
(anticonvulsants):  ยาบางอย่างในกลุ่ม antidepressants เช่น amitriptyline และ
ยาในกลุ่ม anticonvulsants  เช่น gabapentin (Neurontin) ถูกนำไปใช้รักษา
อาการเจ็บปวดที่เกิดจากเส้นประสาทถูกทำลาย (neuropathic pain)

สาร Corticosteroids: ยาในกลุ่ม steroids เช่น prednisone สามารถ
ลดการอักเสบ และสามารถทำให้การเคลื่อนไหวของแขน และขาที่มี
อาการของ CRPS ดีขึ้นได้

ยาที่ใช้รักษาภาวะสูญเสียมวลกระดูก (Bone loss medications):
แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา ซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้สูญเสียมวลกระดูกได้
เช่น ยา alendronate (Fosamax) และ calcitonin (Miacalcin)

ยาที่ใช้ยับยั้งระบบประสาท “ซิมพาเทอติก” (Sympathetic nerve-
blocking medication): ในบางครั้ง การใช้ยาชาฉัดบล็อกเส้นประสาทของ
แขน หรือของขาที่มีอาการ สามารถ ทำให้อาการเจ็บปวดในบางรายหายได้

การใช้สาร Ketamine: ผลจากการศึกษาพบว่า การใช้สาร ketamine
ในขนาดต่ำๆ อาจลดความความเจ็บปวดลงได้  อย่างไรก็ตาม แม้ว่า
อาการปวดจะหายไป แต่การทำงานของแขน หรือขาจะไม่ดีขึ้นเลย

การรักษาด้วยการบำบัด (Therapies):
ใช้ความร้อน และความเย็น (Apply Heat and Cold): การใช้ความเย็น
อาจชวยลดอาการบวม และการมีเหงื่อออกได้ แต่หากบริเวณทีมีอาการ
มีความรู้สึกเย็น ให้ใช้ความร้อนแทนอาจบรรเทาอาการลงได้

การใช้ยาเฉพาะที่ (Topical analgesics): มียาเฉพาะที่หลายอย่าง
สามารถลดความไวต่อการตอบสนองของผิวหนังลงได้ เช่น capsaicin Cream)
หรือ lidocaine patches สามารถบรรเทาอาการปวดลงได้

กายภาพบำบัด (Physical therapy):
การบริหารร่างกายของแขนขาด้านที่มีอาการเจ็บปวด สามารถทำให้อาการ
ปวดลดลง กล้ามเนื้อแข็งแรง และเพิ่มการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

การกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า
(Trans-cutaneous electrical nerve stimulation) หรือ TENS

Biofeedback: ในคนไข้บางรายที่เป็นโรค CRPS พบว่า การเรียนรู้
เรื่อง Biofeedback ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ ฝึกจิต (เวทนาสติปัฏฐาน...) อาจ
ช่วยได้ ตลอดรวมไปถึงการผ่อนคลายชนิดอื่น ๆ สามารถบรรเทาอาการ
เจ็บปวดลงได้

การกระตุ้นไขประสาทสันหลัง (Spinal cord stimulation):
เป็นการสอดเข็มที่เป็น electrode เข้าไปยังไขประสาทสันหลัง จากนั้น ผู้ทำ
การรักษาจะทำการปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ไขสันหลัง ซึ่งสามารถ
บรรเทาอาการปวดให้ลดลงได้เช่นกัน

<<BACK

อ้างอิง:
o www.mayoclinic.org
o www.ninds.nih.gov

Complex regional Pain syndrome (CRPS) P.5: Tests and diagnosis


นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 10, 2015

การวินิจฉัยภาวะ CRPS กระทำได้ด้วยการอาศัยข้อมูลจากการตรวจร่างกาย
และประวัติการเกิดโรค โดยไม่มีการตรวจเพียงอย่างเดียวที่สามารถให้การ
วินิจฉัยโรคได้  แต่จำเป็นต้องใช้กระบวนการต่าง ๆ ต่อไปนี้:

 ตรวจด้วยภาพ Bone scan: เป็นการตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของกระดูก
วิธีการตรวจกระทำโดยการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกายทางเส้น
เลือดดำ ต่อจากนั้น เป็นการตรวจดูสภาพของกระดูกด้วยกล้องพิเศษ

 ตรวจระบบประสาทซิมพาเทอติก:
        การตรวจชนิดนี้ เป็นการตรวจดูระบบซิมพาเทอติก ยกตัวอย่าง เช่น การ
        ตรวจ Thermography เป็นการวัดอุณหภูมิของผิวหนัง และการไหลเวียน
        ของเลือดในบริเวณของแขน และขาที่มีอาการเจ็บปวด

นอกจากนั้น ยังมีการตรวจอย่าอื่น เช่น การตรวจดูเหงื่อบนแขนทั้งสอง

 การตรวจเอกซเรย์ (X-rays):
        การสูญเสียมวลกระดูกสามารถแสดงให้เห็นทางเอกซเรย์ได้  โดยเฉพาะ
        ในระยะสุดท้ายของโรค
 การตรวจด้วยภาพ MRI:
        ภาพที่ปรากฏทาง MRI อาจพบการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อของแขน หรือ
         ขาที่มีอาการได้

<<BACK   NEXT>> CPRS (P.6): Treatment & Drugs

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

กลุ่มอาการรอมเฮลด์ (RS), P. 4: Roemheld Syndrome – Treatment : Anticholinergics medication

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 13, 2015


ในการรักษา (Treatment):
ในการรักษาคนไข้ที่เป็นโรค RS แพทย์จะโฟกัสไปยังอาการของคนไข้เป็นหลัก
ด้วยการให้ยา เช่น:

o Antigas – simethicone เพื่อลดแรงกดในกระเพาะ
o Antacids - (Aludox, proton pump) เพื่อลดกรดในกระเพาะอาหาร
o Anticholinerics – Atropine

Atropine เป็นยาในกลุ่ม anticholinergics ซึ่งถูกนำไปใช้รักษาโรคต่างๆ
รวมทั้งโรค RS โดยยาตัวนี้จะออกฤทธิ์ด้วยการบล็อกสารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า
acethylcholine ที่ปรากฏในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ยา atropine ถูกนำไปในใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น ใช้ในการดมยาสลบ
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด, รักษาคนไข้ที่เป็นโรคหืดอย่างเฉียบพลัน,
หรือช่วยชีวิตคนไข้ระหว่างหัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest)

เพื่อความเข้าใจในบทบาทของยา atropine ดีขึ้น โดยเฉพาะในคนที่เป็น
โรคกลุ่มอาการรอมเฮลด์  เราจะเข้าใจได้ทันทีเมื่อเราทราบว่า ระบบประสาท
“พาราซิมพาเทอติก” มันทำงานกันอย่างไร

ระบบประสาท “พาราซิมพาเทอติก” (PNS)
(parasympathetic nervous system)

ประสาท PNS เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาท มีหน้าที่ในการควบคุมการ
เต้นของหัวใจ (heart rate) และเส้นประสาท vagus ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบ
ประสาท PNS...ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมหัวใจโดยตรง  โดยอาศัยสารสื่อประสาทที่มี
ชื่อเรียก acetylcholine ออกฤทธิ์ต่อเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ

เมื่อมีการกระตุ้นเส้นประสาท vagus จะทำให้การเต้นของหัวใจเต้นช้าลง แต่
เป็นการเต้นที่สม่ำเสมอ

ดังนั้น เราจะเห็นว่า เมื่อมีการให้ Atropine เข้าสู่ร่างกาย...
ยา atropine จะเข้าสู่เซลล์ของหัวใจ และทำการบล็อกฤทธิ์อันเกิดจากการ
กระตุ้นเส้นประสาท vagus ทันที  เป็นการสยบฤทธิ์ของเส้นประสาทดังกล่าว
ยังผลให้การเต้นของหัวใจ เต้นเร็วขึ้น... เป็นการรักษาภาวะ bradycardia
ที่เกิดในภาวะ Roemheld syndrome


. <<BACK

 อ้างอิง

o en.wikipedia.org
o www.livestrong.com

กลุ่มอาการรอมเฮลด์ (RS), P. 3: Roemheld Syndrome (RS) – Diagnosis

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 13, 2015

โดยทั่วไป ในขณะทำการวินิจฉัยโรค RS...
เราอาจไม่พบอาการผิดปกติทางกระเพาะ-ลำไส้  ดังนั้น เราจะเห็นแพทย์โฟกัส
ไปยังการทำงานของหัวใจเป็นสำคัญ เพราะอาการที่ปรากฏมักทำให้คนพบเห็น
ตกใจ  และอาจมีความรุนแรงได้

ในการตรวจทางระบบหัวใจ  แพทย์อาจเริ่มต้นด้วยการทำ EKG  ตามด้วยการ
ตรวจ cardiac MRI, Heart catheterization, echocardiogram ตามความเหมาะสม
และมีการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการณ์ เพื่อหาค่าของเอ็นไซม์ของหัวใจ
และอื่นๆ ตามที่ต้องการ...เพื่อพิสูจน์ว่ามีความผิดปกติในหัวใจหรือไม่

โดยทั่วไปแล้ว คนที่เป็นโรค Roemheld syndrome จะไม่มีความผิดปกติใดๆ ในระบบ
หัวใจเลย

หากแพทย์เฉพาะทางสาขากระเพาะ และไส้ มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาอาจ
สั่งให้มีการตรวจลำไส้ด้วย  colonoscopy และ endoscopy และทำการ
ตรวจ ultrasound เพื่อหาตำแหน่ง หรือแยกโรคของช่องท้อง

โดยสรุป ในการหาสาเหตุของกลุ่มอาการ Roemheld syndrome นั้น เราจะพบ
ว่า  มีลักษณะเหมือน “หว่านแห” ลงไปในสระน้ำที่ปราศจากปลา...
เพราะคนที่เป็นโรค RS เมื่ออาการหายไปแล้ว เรามักจะไม่พบความผิดปกติใด ๆ


<<BACK  NEXT>> Roemheld Syndrome –  Treatment

กลุ่มอาการรอมเฮลด์ (RS), P. 2: Roemheld Syndrome – Symptoms & Causes

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 13, 2015


อาการ (symptoms):
อาการของคนที่เป็นโรครอมเฮลด์ มักจะเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น
และจะมีอาการเฉพาะหลังจากรับประทานอาหาร ซึ่งมีอาการดังต่อไปนี้:

o หัวใจเต้นช้าลง (Sinus bradycardia)
o หายใจ (เข้า)ลำบาก (Difficulty inhaling
o เจ็บหน้าอก (Angina pectoris)
o เหนื่อยเพลีย (Fatique)
o วิตกกังวล (Anxiety)
o วิงเวียน (Dizziness)
o ปวดกล้ามเนื้อ (Muscle pain)

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ (Causes):

สาเหตุที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการรอมเฮลด์ (RS) คือ ลมภายในกระเพาะ-ลำไส้
โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นอาหารที่มีรสจัดเกินไป จนเป็นเหตุให้เกิด
มีอาการขึ้นได้ เช่น:

o มีลมในลำไส้ใหญ่มากเกินไป (transverse colon) โดยเกิดจากการรับ
        ประทานอาหารประเภทที่ไม่สามารถทนได้
o การทำงานผิดปกติของถุงน้ำดี
o นิ้วในถุงน้ำดี
o หูรูด Oddi ทำงานผิดปกติ
o โรคไส้เลื่อนผ่านกระบังลม Hiatal Hernia
o โรคของลำไส้ (Enteric disease)
o ไม่สามารถเรอได้ 
o ลำไส้อุดตัน
o โรคตับอ่อน (Acute pancreatic necrosis)
o และอื่น ๆ


<<BACK     NEXT >> P.3: Roemheld syndrome - Diagnosis

กลุ่มอาการรอมเฮลด์ (RS), P. 1 : Roemheld Syndrome (RS)

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 13, 2015

กลุ่มอาการ “รอมเฮลด์ (RS)” เป็นอาการของระบบกระเพาะ -ลำไส้
และหัวใจ ซึ่งมีความซับซ้อน โดย Ludwig Roeheld ได้เป็นคนรายงาน
เอาไว้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1871 -1938  โดยกล่าวว่า เส้นประสาท vagus
เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดกลุ่มอาการของโรคดังกล่าว  ซึ่งเส้นประสาท
vagus  ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างสมอง, หัวใจ, ปอด,และกระเพาะ-ลำไส้

กลุ่มอาการรอมเฮลด์ (RS) มีลักษณะเฉพาะของหัวใจ โดยถูกกระตุ้น
ด้วยโรคที่ปรากฏในช่องท้องเป็นหลัก  แล้วกระตุ้นเส้นประสารท “เวกัส”
ในบริเวณช่องท้อง  อาจทำให้หัวใจสนองตอบได้หลายทางด้วยกัน
เป็นต้นว่า ทางฮอร์โมน, จากแรงกดดัน, ทางระบบประสาท หรือทาง
ระบบภูมิคุ้มกัน

จากแรงกด (Mechanical):
อาการทางหัวใจเป็นผลมาจากการถูกกดดันจากช่องท้องส่วนบน
(epigastric และ left hypochondriac region) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากแรงภาย
ในกระเพาะส่วนบน (fundus), ท่ออาหาร (oesophagus) หรือแรงที่เกิด
จากลำไส้ที่พอง และขยายตัวจากลม และอาหารที่อยู่ภายใน ยังผลให้เกิดมี
แรงกดดันกระบังลมให้สูงขึ้น เป็นเหตุให้หัวใจถูกดันให้สูงตาม

เมื่อหัวใจถูกยกให้สูงขึ้น ย่อมเป็นเหตุให้การทำงานของหัวใจถูกกระทบ เป็น
ต้นว่า มีการขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไหลกลับหัวใจไม่มากก็น้อย
จนเป็นเหตุให้ทำงานผิดปกติได้

ระบบประสาท (Neurological):
การเปลี่ยนแปลงภายลำไส้ เป็นต้นว่า มีลมภายในอวัยวะดังกล่าว เป็นเหตุให้
ผนังของกระเพาะลำไส้เกิดขยายตัว  เกิดการกดประสาท vagus ในจุดใด
จุดหนึ่งภายในช่องท้อง  ยังผลให้เกิดการสนองตอบด้วยการทำให้การเต้น
ของหัวใจเต้นช้าลง (bradycardia)

ในขณะที่มีการเต้นของหัวใจช้าเกินไป...สารเคมี catecholamines จะถูก
ปล่อยออกมา เพื่อจัดการกับระดับความดันเลือดที่ลดต่ำ ด้วยการจับตัวกับ
alpha receptors และ beta receptors ยังผลให้เกิดการหดตัวของเส้นเลือด
และเพิ่มการหดตัวของหัวใจ...ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว,
เจ็บหน้าอก และเหนื่อยเพลียได้

NEXT >> P. 2: Roemheld Syndrome (RS) – Symptoms & Causes

Abdominal pain and Bradycardia

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 13,2015

ผู้เขียนจัดอยู่ในประเภทที่มีสุขภาพเกือบสมบูรณ์ที่สุด เกิดมี่เหตุการณ์อย่างหนึ่ง
ทำเอาทุกคนที่ได้พบเห็น  รวมทั้งผู้เขียนเองต่างตกใจ...จึงอยากนำเสนอให้เพื่อนๆ 
ทั้งหลายทีมีความห่วงใยในสุขภาพของตนเองได้รับทราบ 
ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย

ผู้เขียนมีอายุ 77 ปี, มีน้ำหนักเกินกว่าปกติ โดยมีดัชนีมวลกาย (BMI) 31 ควบคุมรับ
ความดันโลหิตให้อยู่ระหว่าง 110 – 120 mm Hg ด้วยยา madiplot และ Losartan
และรักษาต่อมลูกหมากโตด้วย Harnal ocas® (tamsulosin HCL)

ผู้เขียนงดดื่มแอลกอฮอล และเลิกสูบบุหรี่มาหลายสิบปี… ออกกำลังกายทุกวัน ๆ ละ
หนึ่งชั่วโมง ตามรูปแบบ circuit exercise โดยรอบของการออกกำลังกายจะประกอบ
ด้วย การวิดพื้น, ยกน้ำหนัก, จอกกิ่ง, สวิงลูกกอล์ฟระยะ 50 เมตร ด้วย Lob wedge
ก่อน  และหลังบริหารร่างกายมีการ warm up & Cool down 5 นาที

ในวันที่รู้สึกตัวไม่สบาย  ผู้เขียนได้รับประทานอาหารเย็นที่มีรสเผ็ดพอประมาณ (ซึ่ง
นานๆ ครั้งจะรับประทานทีหนึ่ง) พอตกกลางคืน ประมานสองทุ่มขณะดูละครทีวี เกิด
มีความรู้สึกปวดท้องทั่วไป เหมือนอาหารไม่ย่อย (dyspepsia) คิดว่าไม่นานอาการ
คงหาย แต่เวลาผ่านไปเกือบถึงเที่ยงคืน อาการยังทรง พร้อมกับเกิดอาการคลื่นไส้
และอาเจียน  ทำให้เกิดความสงสัยว่า...เอะ!  ดูท่าจะไม่ใช้ปวดกระเพาะธรรมดา
เสียแล้วซิ ? 

ผู้เขียนจึงชวนภรรยาไปโรงพยาบาล (ห้องฉุกเฉิน) เพื่อขอตรวจดูคลื่นหัวใจ ดูว่า
เราเป็นโรคหัวใจเหมือนกับที่เคยสอนให้คนไข้หรือเปล่า ?

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล  ผู้เขียนได้บอกให้พยาบาลตรวจคลื่นหัวใจทันที...ซึ่ง
พยาบาล เธอก็ปฏิบัติอย่างฉับไว  ไม่รอช้า จัดการตรวจ EKG ให้ตามที่ขอ

“หัวใจของคุณหมอเต้นช้านะ...”
“เท่าไหร่ ?” 
“50 ครั้ง / นาที”

พยาบาลที่ทำการตรวจ EKG  เป็นคนบอก  พร้อมกับตระโกนบอกให้แพทย์ที่
ประจำห้องฉุกเฉินด้วยความตกใจ เมื่อหัวใจเต้นช้าเรื่อย ๆ จาก 50  - 45 -
 40 ---35 ----30  ----- 28

ไม่ใช้เรื่องปกติเสียแล้วซิ !

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ  ได้รับแจ้งให้ทราบทางโทรศัพท์ทันที
พร้อมกับได้ยินเสียงมาตามสายว่า  “อาการที่เกิดเป็นผลมาจาก “Vagal effect”
พร้อมกับสั่งให้พยาบาลฉีดยา atropine (anticholinergic drug) เข้าเส้น และ
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารให้แก่ผู้เขียน

ภายหลังการได้รับยาฉีด...การเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ เต้นเหมือนปกติใน
เวลาไม่นานนัก  แต่อาการปวดท้องยังทรง แม้จะได้รับยาแก้ปวดท้องแล้ว
ก็ตาม

ในการไปห้องฉุกเฉินครั้งนั่น ได้รับการตรวจเลือดทุกอย่าง รวมทั้งเอ็นไซม์ของหัวใจ 
ปรากฏว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ

วันรุ่งขึ้น  ก่อนกลับบ้าน ผู้เขียนถามแพทย์รุ่นน้องที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจว่า:
ผมเป็นโรคอะไรกันแน่ ?
แพทย์ก็ตอบว่า  เป็นโรคกระเพาะอาหาร และหัวใจเต้นช้า (gastritis and bradycardia) 
ซึ่งเกิดได้ไม่บ่อยนัก  แพทยทั่วไปบางท่านอาจไม่ทราบด้วยซ้ำไป

จากการไม่สบายครั้งนี้  ผู้้่เขียนได้ตั้งใจว่า เมื่อกลับถึงบ้านจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับ
เรื่องดังกล่าว  เพื่อเขียนเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ที่สนใจในสุขภาพได้อ่านกัน

วันนี้ขอจบลงแต่เพียงแค่นี้...

Next >> Roemheld Syndrome

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

เมื่อเธอปวดกระดูกก้นกบ... Coccydynia, P. 5: Treatment of coccydynia

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 12, 2015

นานๆ จะพบคนปวดกระดูกก้นกบสักราย...
โดยมีรายงานว่า ประมาณหนึ่งในร้อยของคนที่เป็นโรคปวดหลังส่วนล่าง
(low back pain) จะมีต้นเหตุมาจากโรคปวดกระดูกก้นกบ (coccydynia)
ซึ่งเราจะพบในผู้หญิงเป็นโรคดังกล่าวได้มากกว่าชาย เพราะผู้หญิ่งมีต้น
เหตุมาจากการคลอดบุตรนั้นเอง

ในการรักษาโรคปวดกระดูกก้นกบ:
แน่นอน  เริ่มต้น แพทย์จะช่วยให้ท่านลดอาการเจ็บปวดด้วยการให้ยากลุ่ม
NSAIDS เช่น ibuprofen ซึ่งสามารถทำให้คนไข้ส่วนใหญ่ที่เป็นโรคดังกล่าว
มีหายจากอาการปวดได้ภายในไม่กี่อาทิตย์

ถ้ายากลุ่ม NSAIDs ไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้ แพทย์จะแนะนำให้ท่านใช้
ยาที่แรงขึ้น เช่นการฉีดสารสเตียรอยด์ (Corticosteroid injections

มีเพียงคนไข้ส่วนน้อยเท่านั้น ที่มีอาการปวดเป็นนานเกิน 3 เดือน
ซึ่งเราเรียกภาวะดังกล่าวว่า เป็นโรคเรื้อรัง (chronic coccydynia) เป็นภาวะ
ที่รักษาได้ไม่ง่าย จำเป็นต้องพึงพาการรักษาหลายอย่างร่วมกัน

สำหรับคนที่เป็นโรคปวดกระดูกก้นกบ...
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถนำมาช่วยบรรเทาอาการปวดได้ เช่น การปรับ
เปลี่ยนท่านั่ง โดยการพยายามนั่งให้หลังตรง อย่าให้กระดูกก้นกบสัมผัสพื้นแข็ง
หรือใช้หมอนรองที่ออกแบบมา เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกก้นกบสัมผัสพื้นนั่งได้

มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น  ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลายกระดูกก้นกบ
ออก (coccygectomy)


<< BACK


อ้างอิง

o www.nhs.uk
o my.clevelandclinic.org
o www.chicagotribune.com

เมื่อเธอปวดกระดูกก้นกบ... Coccydynia, P.4: The Causes of coccydynia

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 12, 2015


ในการวินิจฉัยโรค จำเป็นต้องอาศัยประวัติความเจ็บป่วย และการตรวจรางกาย
สิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้ คือต้องนึกให้ได้ว่า ได้รับบาดเจ็บอย่างใดอย่างหนี่ง
มาก่อนเป็นการเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นประวัติที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือเกิดนานมาแล้ว

ประวัติการคลอดบุตรก็มีความสำคัญ เป็นต้นว่า ปวดท้องคลอดคลอดนาน และ
คลอดลำบาก หรือได้รับบาดเจ็บในระหว่างทำคลอด

การตรวจร่างกาย จากการสังเกตด้วยตา และการคลำสัมผัสด้วยนิ้วมือ อาจพบ
ความผิดปกติบางอย่าง เช่น ก้อนเนื้องอก หรือหนองอักเสบได้

ผลการตรวจเอกซเรย์ของกระดูกก้นกบ อาจบอกให้ทราบถึงพยาธิสภาพของ
กระดูกก้นกบ เช่น กระดูกก้นกบแตกหัก เป็นต้น

นอกจากนั้น แพทย์ประจำตัวของท่าน อาจแนะนำให้ท่านตรวจกระดูกก้นกบ
ด้วยภาพ เช่น การตรวจด้วย CT scan, Magnetic resonance imaging (MRI)
หรือทำ bone scan ของกระดูกก้นกบ  ซึ่งจะกระทำก็ต่อเมื่อมีข้อชี้บอกเท่านั้น

จากข้อมูลที่ได้เราสามารถให้คำวินิจฉียดรคได้โดยไม่ยากนัก


<<BACK      NEXT>>, P. 5: Treatment of coccydynia

เมื่อเธอปวดกระดูกก้นกบ... Coccydynia, P.3: The Causes of coccydynia

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 12, 2015

การเกิดโรคปวดกระดูกก้นกบ  ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ
หรือบาดเจ็บของเนื้อเยื่อในบริเวณใกล้เคียง เข่น:

กล้ามเนื้อ และเอ็นพังผืดของกระดูกก้นกบถูกทำให้ยืดตัวในระหว่าง
คลอดบุตร

ได้รับบาดเจ็บโดยตรง อันเป็นผลมาจากอุบัติเหตุรถยนต์ โดยกระดูก
ก้นกบถูกสะบัดอย่างแรงในขณะนั่งรถ

กระดูกก้นกบถูกดึงให้ยืดออกจากตำแหน่งที่มันควรอยู่  โดยอาจเกิด
จากการนั่งผิดท่า เช่น นั่งเล่นคอมฯ ด้วยการแอ่นหลังส่วนบั้นเอว
ไปทางด้านหลัง ยังผลให้กระดูกก้นกบต้องสัมผัสกับพื้น จนเป็น
เหตุให้กระดูกก้นกบถูกทำให้ยืดตัวได้ หรือ

กระดูกก้นกบได้รับบาดเจ็บจากการนั่งปั่นจักรยาน หรือนั่งพายเรือ
เป็นเวลานานๆ

ในคนที่เป็นโรคปวดกระดูกก้นกบ...
พบว่าประมาณหนึ่งในสาม ไม่สามารถทราบสาเหตุ  บางท่านอาจโยนความ
ผิดให้แก่ภาวะเสื่อมสภาพตามอายุทีเข้าสู่วัยชรา...
อาจมีส่วนทำให้เกิดเช่นนั้นได้ ?

<<BACK          NEXT >> P.4: The Causes of Coccydynia

เมื่อเธอปวดกระดูกก้นกบ... Coccydynia, P2: Symptoms of Coccdydynia

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 12, 2015

อาการของคนที่ปวดบริเวณก้นกบที่พบเห็นเป็นประจำ (classic)
คือ มีอาการเจ็บปวด เมื่อมีแรง (pressure) กระทำต่อปลายกระดูกก้นกบ
โดยตรง เช่น เกิดในขณะนั่งบนพื้นเก้าอี้แข็ง  และอาการจะหายไป หรือดีขึ้น
เมื่อมีการยืน หรือเดิน

นอกจากที่กล่าวมา คนที่เป็นโรคดังกล่าวอาจมีอาการอย่างอื่นปรากฏให้
เห็นได้ เช่น:

o เวลามีการเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นลุกขึ้นยืน เขาจะมีอาการปวด
        เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และมีความรุนแรงมากกว่าเดิม
o มีอาการปวดบริเวณก้นกบในขณะขับถ่ายอุจจาระ
o มีอาการปวด...ในขณะร่วมเพศ 
o มีอาการปวดลึกๆ ในบริเวณก้นกบ
o มีอาการปวดหลังส่วนล่าง (low backache)
o มีอาการปวดร้าวไปยังขา
o เจ็บปวดบริเวณสะโพก และก้อนหย่อน
o ในสตรี ขณะมีประจำเดือน อาการปวดจะเพิ่มมากขึ้น
o เวลานวดเบาๆ ที่บริเวณกระดุกก้นกบ  สามารถทำให้อาการปวดบรรเทา
        ลงได้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า อาการปวดมีความสัมพันธ์กับการคั่งตัว
        ของเลือดในบริเวณดังกล่าว

 มีบางคนที่เป็นโรคดังกล่าว  อาจมีปัญหาในขณะล้มตัวลงนอนในตอนกลางคืน
ซึ่งเป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนท่านอนที่เหมาะสมเสียก่อน

<<BACK      NEXT>> P.3: The Causes of coccydynia

เมื่อเธอปวดกระดูกก้นกบ...P.1 : Coccydynia

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 12, 2015


อาการปวดบริเวณกระดูกก้นกบ หรือ Coccydynia…
เป็นอาการปวดหลังส่วนล่างสุดของกระดูกสันระดับบั้นเอว (tailbone)
อาการทีปวด มีได้ตั้งแต่ขนาดเบา ถึงขนาดรุนแรง  และมักจะมีอาการ
เมื่อคนเราอยู่ในท่านั่ง โดยเฉพาะมีการยื่นส่วนกระดูกสันหลังระดับเอว
ออกไปทางด้านหลัง  ซึ่งมักเกิดในขณะนั่งเล่นคอมฯ หรือ
มีอาการปวดเกิดในขณะเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นลุกขึ้นยื่น

มีบางรายสามารถนั่งได้ไม่กี่นาที  ก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเป็นท่าอื่นจึง
สามารถบรรเทาอาการปวดลงได้

อาการเจ็บปวดในบริเวณก้นกบ (coccyx หรือ tailbone) บางครั้ง
เป็นอุปสรรค์ต่อการทำงานในชีวิตประจำวัน เป็นต้นว่า ขับรถยนต์, ไม่
สามารถยื่นตัวไปทางด้านหน้า หรือนั่งบนพื้นแข็งได้

บางท่านอาจแปลกใจเมื่อนั่งบนพื้นที่มีความนุ่ม..จะมีอาการปวดมาก
กว่านั่งบนพื้นแข็ง  ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะเมื่อนั่งบนพื้นที่นุ่ม จะทำให้
ปลายกระดูกก้นกบสัมผัสพื้นได้ง่ายกว่าการนั่งบนพื้นแข็งมาก


NEXT>> P2: Symptoms of Coccydynia

Complex regional Pain syndrome (CRPS) P.4: Complication

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 10, 2015

ถ้าคนที่เป็นโรคกลุ่มอาการปวดอย่างซับซ้อนเฉพาะที่ (CRPS) หาก
ไม่ได้รับการวินิจฉัย และได้รับการรักษาได้เร็ว โรคอาจเปลี่ยนแปลงสู่
ภาวะทีรุนแรงขึ้น ได้แก่:

ทำให้เนื้อเยื่อลีบลง (atrophy):
จากความเจ็บปวด หรือข้อแข็งเกร็ง เป็นเหตุให้ไม่ได้ใช้แขน – ขา
        เท่าที่ควร ยังผลให้เกิดแขน และขาลีบตัวลง ซึ่งเกิดจากความ
        เจ็บปวด นอกจากนั้น ยังพบการเปลี่ยนแปลงในบริเวณผิวหนัง,
        กระดูก และกล้ามเนื้อทำให้เลวลง และเกิดการอ่อนแรงลง

กล้ามเนื้อแข็ง (muscle contracture):
ท่านอาจมีวามรู้สึกว่ามีความแข็งตึงในกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจนำไปสู่
        ภาวการณ์แข็งเกร็งของนิ้วมือ และนิ้วเท้า ทำให้ไม่สามารถ
        เคลื่อนไหวข้อได้

<<BACK        NEXT>> CPRS (P.5): Tests and diagnosis

Complex regional Pain syndrome (CRPS) P.5: Tests and diagnosis
นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 10, 2015

การวินิจฉัยภาวะ CRPS กระทำได้ด้วยการอาศัยข้อมูลจากการตรวจร่างกาย
และประวัติการเกิดโรค โดยไม่มีการตรวจเพียงอย่างเดียวที่สามารถให้การ
วินิจฉัยโรคได้  แต่จำเป็นต้องใช้กระบวนการต่าง ๆ ต่อไปนี้:

ตรวจด้วยภาพ Bone scan: เป็นการตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของกระดูก
วิธีการตรวจกระทำโดยการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกายทางเส้น
เลือดดำ ต่อจากนั้น เป็นการตรวจดูสภาพของกระดูกด้วยกล้องพิเศษ

ตรวจระบบประสาทซิมพาเทอติก:
        การตรวจชนิดนี้ เป็นการตรวจดูระบบซิมพาเทอติก ยกตัวอย่าง เช่น การ
        ตรวจ Thermography เป็นการวัดอุณหภูมิของผิวหนัง และการไหลเวียน
        ของเลือดในบริเวณของแขน และขาที่มีอาการเจ็บปวด

นอกจากนั้น ยังมีการตรวจอย่าอื่น เช่น การตรวจดูเหงื่อบนแขนทั้งสอง

การตรวจเอกซเรย์ (X-rays):
        การสูญเสียมวลกระดูกสามารถแสดงให้เห็นทางเอกซเรย์ได้  โดยเฉพาะ
        ในระยะสุดท้ายของโรค
การตรวจด้วยภาพ MRI:
        ภาพที่ปรากฏทาง MRI อาจพบการเปลี่ยนแปลงในเนื้อเยื่อของแขน หรือ
         ขาที่มีอาการได้

<<BACK     NEXT>> CRPS (P.5): Tests and Diagnosis

Complex regional Pain syndrome (CRPS), P.3: Causes

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 10, 2015

ในปัจจุบันเราไม่แน่ใจนักว่า  อะไรเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภาวะ CRPS
เพราะมีคนไข้บางราย ได้รับบาดเจ็บเหมือนๆ กัน แต่ไม่เกิดภาวะดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม 90% ของคนเป็นโรคจะมีประวัติว่าได้รับบาดเจ็บมาก่อน
และที่พบบ่อยที่สุด คือ กระดูกแตกหัก, ข้อเคล็ดยอก/เอ็นฉีกขาด,
ถูกน้ำร้อน, ถูกของมีคมบาดเอา, ได้รับการใส่เฝือกจากกระดูกแตกหัก,
หรือภายหลังการผ่าตัด หรือแม้กระทั้งถูกเข็มทิ่มแทงมาก่อน

เราจะเห็นว่า CPRS เป็นภาวะที่ร่างกายสนองตอบต่อบาดเจ็บที่ผิดปกติ
โดยได้รับผลที่เกิดขึ้นมากกว่าบาดเจ็บที่ได้รับ (เกินความเป็นจริง)
ซึ่งมีลักษณะเหมือนโรคภูมิแพ้ (allergy)

เขาพยายามอธิบายความว่า...
การตอบสนองต่อบาดเจ็บอย่างผิดปกติดังกล่าว เป็นผลมาจากเส้นประสาท
ขนาดเล็กทีไม่มีเปลือกหุ้ม โดยทำหน้าที่นำคลื่นความรู้สึกเจ็บปวดไป
หล่อเลี้ยงเลือดบริเวณแขน-ขา ได้ปล่อยสารเคมีออกมา ซึ่งนอกจากจะยัง
ผลให้เกิดมีอาการบวมแล้ว ยังทำให้เส้นเลือดเกิดการขยายตัว ทำให้เกิด
มีผิวหนังแดง

เมื่อเวลาผ่านไป...เส้นเลือดที่ถูกกระตุ้นโดยเส้นประสาท อาจเกิดการหดตัว
เป็นเหตุให้เกิดมีผิวหนังซีดเผือด และเขียวคล้ำ  และยังทำให้กล้ามเนื้อ
และเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไปขาดออกซิเจน และอาหาร จนเป็นเหตุให้เกิดมี
อาการปวดกล้ามเนื้อ และข้อได้

นอกจากนั้น ในคนที่เป็นโรค CRPS ยังมีส่วนเกี่ยวข้องระบบภูมิคุ้มกันทำ
งานผิดปกติด้วย โดยพบว่ามีสารเคมีที่ทำให้เกิดการอักเสบ (Cytokines)
ในบริเวณเนื้อเยื่อของแขน หรือ ขาที่มีอาการ โดยสารเคมีดังกล่าวทำให้
เกิดอาการบวม, แดง, และร้อน

ในคนเป็นโรค CRPS นั้น บางครั้ง คนไข้ไม่มีประวัติได้รับบาดเจ็บมาก่อน
แต่อาจได้รับบาดเจ็บภายในที่เกิดจากการอักเสบ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรค
เส้นเลือด, หรือเส้นประสาทถูกกดทับได้...

<<BACK        NEXT>> CRPS (P.4) - Complications

กลุ่มอาการเจ็บปวดอย่างซับซ้อนโดยเกิดเฉพาะที่ (CRPS), P.2: Symptoms & Signs

นพ มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 12, 2015


อาการหลักของคนที่เป็นโรค CRPS คืออาการปวดที่ติดต่อ
กันอย่างยาวนาน โดยมีอาการคงที่อยู่ตลอดเวลา  ซึ่งบางคนมีอาการ
รุนแรง โดยมีอาการออกแสบออกร้อน รู้สึกเหมือนถูกของมีคมทิ่มแทง
หรือถูกบีบรัดในบริเวณที่เป็นโรค หรือขาจนถึงขั้นทำให้คนบางคนเกิด
ความทุกข์ทรมาน

ในบางคน แม้ว่าบาดเจ็บที่เคยได้รับเป็นบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เช่น
ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณปลายนิ้ว หรือนิ้วเท้าเท่านั้น แต่อาการปวดที่
เกิดอาจแพร่กระจายไปทั่วทั้งแขน หรือขาได้  นอกจากนั้น เรายังพบ
ว่าในบริเวณดังกล่าวมักจะเพิ่มความไวต่อการสัมผัส ทำให้บริเวณที่
มีอาการเจ็บปวดมากขึ้น

นอกจากนั้น คนที่เป็นโรค CRPS ยังมีความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง
ในอุณหภูมิ, สีของผิวหนัง  โดยเป็นผลมาจากความผิดปกติในการ
ไหลเวียนเลือดระดับ “ไมโครฯ” อันเป็นผลมาจากประสาทที่ทำ
หน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือด และอุณหภูมิถูกทำลายไปนั่นเอง

คนที่เป็นโรค CRPS จะมีอาการ และอาการแสดงดังต่อไปนี้:

มีอาการออกแสบร้อน หรือปวดแบบตุบๆ ตลอดเวลา ซึ่งมักเกิด
        ในบริเวณแขน, ขา, มือ หรือเท้า
มีความรู้สึกไวต่อการสัมผัส หรือความเย็น เป็นเหตุให้มีอากรปวด
        เพิ่มมากขึ้น
มีอาการบวมตรงบริเวณที่เจ็บปวด
อุณหภูมิของผิวหนังเปลี่ยนไป ในบางครั้งผิวหนังจะชื้นจากเหงื่อ; 
        บางครั้งจะเย็น
ผิวสีเปลี่ยน...ตั้งแต่สีซีดขาว....แดงซ้ำ
ความยืดหยุ่นของผิวหนังเปลี่ยน, อาจกดเจ็บ, ผิวบาง และใส
มีการเปลี่ยนแปลงของขน หรือเล็บ
ข้อแข็ง, บวม และข้อถูกทำลาย
กล้ามเนื้อหดเกร็ง, อ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อลีบ
ไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนที่มีอาการ


<<BACK      NEXT>> CRPS (P.3): Causes

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

กลุ่มอาการเจ็บปวดอย่างซับซ้อนที่เกิดเฉพาะที่ (CRPS), P.1: Complex Regional Pain Syndrome

นพ มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 12, 2015

กลุ่มอาการเจ็บปวดเฉพาะที่อย่างซับซ้อน (CPRS)...
เป็นกลุ่มอาการเจ็บปวดที่มีรูปแบบซับซ้อนสมชื่อ โดยเกิดขึ้นกับแขน-ขา
(รวมถึงมือ และเท้า) ซึ่งมักเกิดภายหลังจากได้รับบาดเจ็บ โดยอาการเจ็บปวด
ที่เกิดขึ้น ถูกเชื่อว่าเป็นผลมาจากเส้นประสาท หรือระบบประสารทส่วนกลาง
ถูกทำลาย หรือทำงานผิดปกติไป

ระบบประสาทส่วนกลางประกอบด้วยสมอง และไขประสาทสันหลัง
ส่วนประสาทส่วนปลายจะทำหน้าที่นำคลื่นของข้อมูลข่าวสารจากประสาทสมอง
และไขสันหลังสู่ส่วนที่เหลือของร่างกาย

ในคนที่เป็นโรค CRPS จะมีลักษณะเฉพาะ ด้วยการแสดงอาการที่ปรากฏจะเกิด
ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งอาจมีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง หรือมีอาการเพียง
เล็กน้อย โดยร่วมกับการเปลี่ยนแปลงในสีของผิวหนัง, อุณหภูมิ, และ/หรือ
มีอาการบวมในบริเวณที่เป็นโรคปรากฏให้เห็น
โรค CRPS มีสองชนิดด้วยกัน โดยมีอาการเหมือนกัน ที่เราควรทราบได้แก่:

CRPS-I: Reflex sympathetic dystrophy syndrome
CRPS-2: Causalgia

ในรายที่เป็นชนิด CRPS-II  จะเกิดในคนที่ได้รับบาดเจ็บเส้นประสาทมาก่อน
ส่วนในรายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือไม่พบหลักฐานว่าได้รับบาดเจ็บของเส้น
ประสาทจะถูกจัดให้อยู่ในพวก CRPS-I

คนที่เป็นโรค CRPS จะมีอาการที่แตกต่างกันทั้งความรุนแรง และระยะเวลาที่
มีอาการ  และจากผลของการศึกษาชี้ให้เห็นว่า คนที่เป็นโรคดังกล่าวพบว่า
ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่ค่อยรุนแรง และหายได้อย่างช้า ๆ
สำหรับในรายที่มีความรุนแรง อาจไม่ฟื้นตัวเลย และก่อให้เกิดความความ
สูญเสียสมรรถภาพของส่วนนั้นๆ (ที่มีอาการ)ได้


NEXT >> CRPS P. 2: Symptoms & Signs

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน P. 7: Hyperthyroidism - Treatment - continued

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 9, 2015


เมื่อต่อมไทรอยด์ถูกทำลายมากไป...ต้องได้รับการชดเชย
(Thyroid replacement therapy)

ในการรักษาต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ด้วยกรรมวิธีใดก็ตาม เป็นเหตุให้
เนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์ถูกทำลายมากไป  เพราะในการรักษาด้วยการ
ให้ยา หรือสารกัมมันตรังสี...พบว่า คนไข้แต่ละรายมีการตอบสนองต่อยา
ได้แตกต่างกัน จึงเป็นการยาที่จะบอกได้ว่า ขนาดยาที่ให้ตามปกตินั้น
เหมาะสมกับคนไข้แต่ละรายหรือไม่ ?

ในการให้ยามากเกินไป อาจทำให้ระดับของฮอร์โมน thyroxine ในกระแส
เลือดลดต่ำไป  แต่หากให้น้อยไป ย้อมหมายความว่า ระดับของ Thyoxine
ยังอยู่ในระดับสูงเกินปกติ  ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของแพทย์จะต้องทำการ
ตรวจเลือดดูระดับของฮอร์โมน thyroxine อย่างสม่ำเสมอ

ในการรักษาด้วยการให้ยา carbimazole ทุกวันด้วยขนาดสูง หรือให้สาร
radioidine ในขนาดที่มากไป จะทำให้ต่อมไทรอยด์ถูกทำลาย และหยุด
ผลิตฮอร์โมนไทรอกซีนลง  ในกรณีเช่นนี้ ท่านจำเป็นต้องได้ฮฮร์โมนชดเชย
(thyroxine tablets)  เพื่อทำให้ระดับของฮอร์โมนอยู่ในระดับปกติ ซึ่
งหมายความว่า เมือให้การรักษามากเกินไป เราจำเป็นต้องทดแทนส่วน
ที่หายไป เรียกภาวะดังกล่าวว่า “Block and  Replace”

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตา:

ในกรณีที่ท่านเป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โดยมีต้นเหตุเป็นโรค Graves’
พบว่า ครึ่งหนึ่งมีปัญหาเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจช่วยเหลือได้ด้วยการหยอดตา
ด้วยนำตาเทียม, สรวมแว่นกันแดด และป้องกันลูกตาในขณะนอนหลับ

ส่วนอีก 1 ใน 10 ของคนที่เป็นโรค Graves’  ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง
ปรากฏว่า การรักษาจะยุ่งยากขึ้นน โดยอาจเป็นการผ่าตัด, ฉายแสง, หรือ
ให้สาร steroids (tablets)

Beta-blocker medicines:

คนไข้บางรายที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์เกิน ได้รับยา beta-blocker เช่น
propranolol, atenolol..) เป็นเวลาสองสามอาทิตย์...
และในการใช้ยาดังกล่าสามารถลดอาการสั่น (tremors), ใจสั่น (palpitation),
เหงื่อออก (sweating), หงุดหงิด (agitation), และเครียด (anxiety)

<<BACK

อ้างอิง:
o www.endocrineweb.com
o www.patient.co.uk

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน P. 6: Hyperthyroidism - Treatment

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 9, 2015

เป้าหมายในการรักษาโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน คือการลดระดับของฮอร์โมน
“ไทรอกซีน” ลงสู่ระดับปกติ  ส่วนอาการอย่างอื่น เช่นต่อมไทรอยด์โต หรือปัญหา
ที่เกิดขึ้นกับลูกตา  อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาวีการที่แตกต่างกัน

ทางเลือกในการรักษาโรคมีดังนี้:

รักษาด้วยยา (Medicines):
ยาที่ใช่ลดปริมาณของฮอร์โมน thyroxine ซึ่งถูกสร้างโดยต่อมไทรอยด์
ที่ทำงานเกิน ได้แก่ยา carbimazole ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันบ่อยที่สุด โดยยาตัวนี้
จะไม่มีผลกระทบต่อฮอร์โมนแม้แต่น้อย  แต่จะลดการสร้างฮอร์โมนไทรอกซีน
ไม่ให้สร้างเพิ่มขึ้นอีก

ในการออกฤทธิ์ของยา อาจกินเวลาประมาณ 4 – 8 อาทิตย์ เพื่อทำให้ระดับ
ของ thyroxineลดลงสูระดับปกติ  โดยมีการใช้ยาในขนาดที่แตกต่างกันใน
คนไข้แต่ละราย ซึ่งมักเริ่มต้นด้วยการให้ยาในขนาดสูง และค่อย ๆ ลดขนาด
ของยาลง

โดยทั่วไป แพทย์จะใช้ยา Carbimazole เป็นเวลา 12 – 18 เดือน หลังจากนั้น
เราจะพบว่า ครึ่งหนึ่งของคนที่ได้รับการรักษายะพบว่าอาการจะหายไป และ
สามารถหยุดยาได้  อาจมีคนไข้บางรายมีอาการกลับมาใหม่
ซึ่งในกรณีเช่นนั้น ให้เริ่มใช้ยา Carbimazole ซ้ำเป็นครั้งที่สองได้

อย่างไรก็ตาม ในคนไข้เหล่านี้อาจมีทางเลือกอย่างอื่น  เช่น ให้รักษาด้วยสาร
กัมมันตรังสี - radioactive iodine

ข้อระมัดระวัง:
ในการใช้ยา Carbimazole สามารถกระทบต่อเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์ที่
ทำหน้าที่ต่อสู้การอักเสบ  หากท่านเกิดมีไข้, เจ็บคอ, มีแผลในปาก, หรือมี
อาการอย่างอื่นในขณะรักษาด้วยการใช้ยา carbimazole…ท่านต้องหยุดการ
ใช้ยา carbimazole

นอกจากยา Carbimazole แล้ว เรายังมียาอีกตัวที่สามารถใช้แทน ซึ่งมีชื่อว่า
propylthiouracil ซึ่งใช้ในกรณีที่ท่านตั้งท้อง หรือในขณะให้นมบุตร

รักษาด้วยสารกัมมันตภาพไอโอดิน (Radioiodine): 
สารดังกล่าว จะถูกผลิตออกมาในรูปแคพซูลสำหรับกลืนกิน หรือเป็น
ยาน้ำให้ดื่ม โดยปกติ สาร iodine ถูกร่างกายนำไปใช้เพื่อสร้างฮอร์โมน
thyroxine ดังนั้น เมื่อคนไข้กิน หรือดื่มสารกัมมันตรังสีไอโอดินเข้า
สู่ร่างกาย มันจะเข้าสู่ต่อมไทรอยด์  และจะทำหน้าที่ทำลายเนื้อเยื่อของ
ต่อมที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน thyroxine

ในการให้ radioidodine เราพบว่า ประมาณ 90 % จะได้รับเพียงครั้งเดียว
(one dose) ซึ่งสามารถรักษาภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษได้ โดยใช้เวลานาน
6 เดือน จึงจะเห็นผลด้วยการทำลายเนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์ไปบางส่วน
หรือทำลายต่อมทั้งหมด

ส่วนใหญ่อาการของคนไข้จะดีขึ้นประมาณหนึ่งเดือนหลังการรักษา
หากอาการไม่หายไปภายใน 6 เดือน  ท่านอาจได้รับสาร radioiodine เป็น
ครั้งที่สองก่อนที่จะพิจารณาการผ่าตัด

ขนาดของสาร radioactive iodine จะมีขนาดต่ำๆ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อ
ร่างกาย  แต่ไม่เหมาะสำหรับคนตั้งครรภ์  หรือคนที่กำลังให้นมบุตร
ดังนั้นหากท่าน (สตรี) ตั้งใจจะตั้งท้องภายในระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
และสำหรับชายไม่ควรทำหน้าที่เป็นพ่อของเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 4 เดือน

ในระหว่างได้รับการรักษาด้วย radioactive ท่านจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้
รังสีกระทบต่อคนอื่นด้วยการหลีกเลี่ยงไม่สัมผัสกับคนอื่น ๆ ในช่วงเวลา
2 – 4 อาทิตย์ โดยขึ้นกับปริมาณของ radioactive iodine

เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ แพทย์จะแนะนำให้ระมัดระวังดังต่อไปนี้:

ไม่สัมผัส หรือใกล้ชิดกับเด็กเล็ก, เด็ก, หรือสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งหมายความว่า
         ต้องห่างจากเด็กหนึ่งเมตร...ไม่อุ้มเด็ก หรือให้เด็กนั่งตัก
ไม่เข้าใกล้บุคคลอื่นในช่วงหนึ่งช่วงแขน
ต้องนอนคนเดียว
ห้ามเข้าไปในบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่น เช่น โรงภาพยนตร์ เป็นต้น
ควรหยุดพักงาน เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเข้าใกล้คนอื่น
การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด (Surgery)

การรักษาด้วยการผ่าตัด  คือการผ่าตัดเอาส่วนของต่อมไทรอยด์ออกไป
อาจเป็นการรักษาที่เหมาะสมในกรณีที่ต่อมไทรอยด์มีขนาดใหญ่  ซึ่งก่อให้เกิด
ปัญหาในบริเวณคอ หากการผ่าตัดนั้นทำการตัดเอาเนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์ออก
มากไป  ท่านอาจจำเป็นต้องให้สาร thyroxine เพื่อรักษาระดับของฮอร์โมน
ไทรอกซีนให้เป็นปกติ


<<BACK        NEXT >> P. 7: Hyperthyroidism - Treatment - continued


ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน P. 5: (Hyperthyroidism) - Diagnosis

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 9, 2015

ในการวินิจฉัยโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เราสามารถกระทำได้ด้วย
การตรวจเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการ...

การตรวจเลือดที่ได้ผลเป็นปกติ  สามารถแยกภาวะที่ทำให้คนมีอาการ
คล้ายเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกินได้ ข้อมูลที่ต้องการนำมาพิจาณา
วินิจฉัยโรคต่อมไทรอยด์ คือการตรวจดูระดับฮอร์โมนต่อไปนี้:

Thyroid-stimuating Hormone (TSH):
เป็นฮอร์โมนที่สร้างโดยต่อมใต้สมอง (pituitary gland) ซึ่งมันจะผลิต
ฮอร์โมน TSH ออกมาน้อยเมื่อภายในกระแสเลือดมีระดับ Thyroxine ใน
กระแสเลือดสูง จากภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน  แต่ถ้าเมื่อใดร่าง
กายมีระดับฮอร์โมน thyroxine ต่ำ...ต่อมใต้สมองจะผลิตฮอร์โมน TSH
ออกมาในปริมาณเพิ่มขึ้น

จะผลการตรวจพบระดับของ STH ในกระแสเลือด สามารถบอกให้เรา
ทราบว่า ต่อมไทรอยด์ของท่านอยู่ในสภาพใด

Thyroxine (T4):
ในการตรวจพบฮอรโมน T4 ในกระแสเลือดสูง หรือต่ำ สามารถบอกให้
ทราบว่า ต่อมทำงานมากหรือน้อย และในกรณีที่พบว่า ระดับ thyroxine
ในกระแสเลือดสูง ย่อมเป็นการยืนยันว่า ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่า
ปกตินั้นเอง (hyperthyroidism)

ในการตรวจดูระดับฮอร์โมน  บางครั้งผลที่ได้ไม่สามารถบอกได้ว่าปกติ
หรือผิดปกติ จะบอกว่าปกติก็ไม่ใช้ หรือจะบอกว่าผิดปกติก็ไม่เชิง
(borderline) ยกตัวอย่าง ผลการตรวจเลือดได้ค่าของ T4 อยู่ในระดับปกติ
และค่าของ TSH ต่ำกว่าปกติ ในกรณีเช่นนี้เราไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่า
เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน

และเพื่อเป็นการยืนยันการวินิจฉัยว่า คนไข้เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน
หรือไม่  เราจำเป็นต้องตรวจอย่างอื่นเพิ่ม  เช่น ตรวจหาค่า T3
ซึ่งในกรณีที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เราจะตรวจพบระดับ T3 เพิ่ม
ขึ้น  หรือทำการตรวจหาค่า T4 & TSH ซ้ำภายในสองสามอาทิตย์ในหลัง

นอกจากนั้น เราอาจจำเป็นต้องทำการตรวจด้วย ultrasound scan หรือ
thyroid scan ซึ่งอาจนำข้อมูลที่พบมาช่วยนิจฉัยโรค nodular goiter ได้


สำหรับในกรณีที่เป็นโรค Graves’ disease การตรวจหาภูมิคุ้มกันเฉพาะ
ของโรค  ซึ่งอาจเพิ่มสูงขึ้น แต่จงจำเอาไว้ว่า  ภูมิคุ้มกันดังกล่าวอาจสูงขึ้นใน
โรคอย่างอื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นโรค “เกรฟ” ก็ได้


<<BACK             NEXT>> P. 6: Hyperthyroidism - Treatment

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน P. 4: (Hyperthyroidism): Causes

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 9, 2015


สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ที่เราควรทราบได้แก่:

Graves’ disease:
โรคนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเกิดขึ้นได้กับคนทุกอายุขัย 
แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 20 – 50 ปี แต่สามารถเกิดขึ้น
กับทุกคน และมักมีประวัติเกี่ยวกับครอบครัว  และอาจมีประวัติว่า เป็นโรค
ในระบบภูมิคุ้มกัน 

โรค “เกรฟ” (Graves’s disease) ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกัน...
โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในกระแส
เลือดของคนเรา ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากอันตรายที่ล่วงล้ำเข้าสู่กาย
เช่น เชื้อแบคทีเรีย, เชื้อไวรัส  และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ โดยการทำลาย
สิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น

ส่วนในคนที่เป็นโรคภูมิคุ้มกัน เราจะพบว่า ระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างภูมิคุ้มกัน  
จะหันอาวุธเข้าทำลายตัวเอง อย่างเช่นโรคที่กำลังกล่าวถึง...โรค Graves’
ภูมิต้านทานที่สร้างขึ้น จะไปจับตัวกับต่อมไทรอยด์ เป็นเหตุให้ต่อมผลิต
ฮอร์โมน “thyroxine” ออกมาในปริมาณมากกว่าปกติ

เราไม่ทราบว่า อะไรเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันสร้างภูมิคุ้มกันตัวดังกล่าว 
จนเป็นเหตุให้เกิดเป็นโรค “เกรฟ” ขึ้น

ในโรค “เกรฟ” นอกจากจะพบต่อมไทรอยด์มี่ขนาดโตขึ้นแล้ว  เรายังพบว่า 
ลูกตาของคนที่เป็นโรคจะโปนออกมาทางด้านหน้า โดยพบได้ประมาณ
ครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นโรเกรฟ  เป็นเหตุทำให้คนไข้รู้สึกไม่สบายที่ลูกตา, มี
น้ำตาไหล, อาจทำให้กล้ามเนื้อลูกตาเกิดมีปัญหา ด้วยการทำให้เห็นภาพ
ซ้อนขึ้นได้

ก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid nodules):
เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกินได้เข่นกัน แต่พบได้น้อย 
ก้อนที่เกิดในต่อมไทรอยด์เป็นก้อนเนื้องอกธรรมดา (non-cancerous) ไม่
ปรากฏชัดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มีเนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์ที่ไม่ปกติ 
ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การควบคุม ยังผลให้มีการผลิตฮอร์โมน thyroxine ออกมา
ในปริมาณมากไป

สาเหตุอย่างอื่นๆ (Other Causes):
มีสาเหตุหลายอย่างที่พบได้ (น้อย) แต่สามารถทำให้เกิดโรคต่อมไทรอยด์
ทำงานเกินได้ เช่น คนที่กินยา amiodarone และ lithium สามารถทำให้
เกิดโรคต่อมไทรอดย์ทำงานเกิน (hyperthyroidism)


วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน P. 3: Hyperthyroidism - Complications

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 9, 2015

ในคนที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หรือไทรอยด์เป็นพิษ...
หากไม่ได้รับการรักษา สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง 
ที่ท่านควรทราบได้แก่:

ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางโรคหัวใจ เช่น การเต้นหัวใจผิดปกติ
(atrial fibrillation), กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง (cardiomyopathy), เจ็บหน้าอก (angina)
และหัวใจวาย (heart failure)

ถ้าโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษเกิดตั้งครรภ์  เธอมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อ
การเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น คลอดก่อนกำหนด, เกิดต่อมไทรอยด์เป็นพิษ, 
เกิดอาการชัก, หรือหัวใจล้มเหลว...

ท่านมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน (osteoporosis)

สำหรับท่านที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน สามารถรักษาได้ โดยอาการส่วนใหญ่ 
รวมถึงป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนชนิดต่างได้


<<BACK         NEXT>> P. 4:  (Hyperthyroidism): Causes

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน P.2 :Hyperthyroidism - Symptoms

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 9, 2015

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หรือต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ Thyrotoxicosis…
เป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน  ยังผลให้มีการสร้างฮอร์โมนที่มีชื่อ
ว่า thyroxine ออกมาในระดับสูงกว่าปกติ  โดยฮอร์โมนดังกล่าวทำหน้าที่ทำให้
การทำงานของร่างกาย (metabolism) ดำเนินไปได้มากกว่าปกติ

เมื่อต่อมไทรอยด์ของท่านทำงานเกิน มันสามารถทำให้เกิดอาการดังนี้:

หงุดหงิด มีปัญหา...นอนไม่หลับ
มือสั่น
น้ำหนักลดทั้งๆ ที่เจริญอาหาร
ใจสั่น
ท้องร่วง หรือเข้าห้องส้วมบ่อยผิดปกติ
ผิวหนังบาง ผมร่วง และรู้สึกคัน
มีการเปลี่ยนแปลงในประจำเดือน...สำหรับสตรีเพศ
เหนื่อย และมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง
มีก้อนที่บริเวณคอ
มีความผิดปกติในบริเวณตา (ถ้าท่านเป็นโรคเกรฟ)

คนไข้ส่วนใหญ่ที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์เกินจะไม่มีอาการครบหมดทุกอาการ
แต่การมีอาการสองอย่าง หรือมากกว่ารวมกัน จัดเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยที่สุด
อาการที่ปรากฏมักจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และอาการทุกอย่างสามารถทำให้
เกิดปัญหาต่างๆ โดยที่เราไม่ทราบว่าเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกินก็ได้
โดยอาการเริ่มแรกอาจไม่มาก แต่อาจมีอาการรุนแรงขึ้นเมื่อระดับของ
ฮอร์โมน thyroxine ในกระแสเลือดมีมากขึ้น


<<BACK              NEXT>> P. 3: Hyperthyroidism -  Complications

ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) P1

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
April 9, 2015

โรคตjอมไทรอยด์ทำงานเกิน  หมายถึงภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานผลิตฮอร์โมน
ที่มีชื่อ thyroxine เพิ่มมากผิดปกติ  โดยมีสาเหตุหลายอย่าง และที่พบมากทีสุดได้แก่
โรค Grave’s (disease) 

ในการรักษาโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกินนั้น สามารถกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยการใช้ยา (medicines), สารกัมมันตรังสีไอโอดีน (radioactive iodine), 
และการผ่าตัด (surgery)

เป้าหมายการรักษา คือการลดระดับของฮอร์โมน “ไทรอกซีน” ลง โดยการใช้ยา 
(medicine), ใช้สารกัมมันตรังสีไอโอดีน และการผ่าตัด (surgery)  และใช้ยาลด
ความดันโลหิตกลุ่ม  Beta blockers สามารถลดอาการของโรคลงได้ 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราสามารถรักษาโรคประสบความสำเร็จ เราเป็นต้องติดตาม
ผลต่อในระยะยาว


 NEXT>> P.2 :Hyperthyroidism - Symptoms & Complications

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

เมื่อหัวใจท่านเต้นแรง...P.3: Bounding pulse – Diagnosing and Treatment

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 7, 2015

เมื่อท่านเกิดมีอาการหัวใจเต้นแรง ย่อมเป็นหน้าที่ของท่านจะต้องติดตามอย่าง
สังเกตอย่างใกล้ชิดว่า มันเกิดขึ้นเมื่อใด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และอะไรทำให้มัน
เกิดขึ้น และหากท่านมีประวัติเกี่ยวโรคประจำตัว  ท่านจำเป็นต้องบอกให้แพทย์
ของท่านได้รับทราบ  เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรค
ของท่าน...

แพทย์จะพิจารณาข้อมูลที่ได้จากประวัติความเจ็บป่วย...เป็นต้นว่าโรคหัวใจ,
โรคต่อมไทรอยด์ หรือท่านตกอยู่ภายใต้ความเครียด และความวิตกกังวล

จากการตรวจร่างกาย แพทย์อาจพบก้อนที่บริเวณลำคอ ซึ่งเป็นอาการแสดงของ
ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน (hyperthyroidism) เขา/เธออาจทำการตรวจ
เอกซเรย์ หรือตรวจคลื่นหัวใจ (electrocardiogram) เพื่อตรวจดูรูปแบบการเต้น
ของหัวใจ โดยอาจพบความผิดปกติในเต้นของหัวใจของท่านได้

หากท่านไม่เป็นโรคต่อมไทรอยด์ ทำงานเกิน หรือหัวใจเต้นผิดปกติ (arrhythemia)
ท่านไม่จำเป็นต้องทำการรักษาแต่อย่างใด

หากท่านมีน้ำหนักเกิน (overweight)  เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเต้นของหัวใจ
แรงผิดปกติได้  แพทย์ของท่านสามารถแนะนำวิธีลดน้ำหนัก และออกกำลังกายให้
แก่ท่าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของท่านจะต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

ถ้าท่านเป็นคนแข็งแรงดี แพทย์อาจเพียงแต่แนะนำให้ท่านหลีกเลี่ยงจากปัจจัยที่
อาจทำให้เกิดการเต้นของหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติได้ เป็นต้นว่า ลดความเครียด
และงดการดื่มกาแฟลง

ถ้าท่านเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หรือเป็นการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ ท่านจะ
ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ด้วยการกินยาตามสั่ง ถ้าความเครียด หรือมี
ความวิตกกังวลเป็นต้นเหตุ ท่านสามารถจัดการกับภาวะดังกล่าวได้ดังนี้:

ฝึกหัวเราะให้บ่อยขึ้น ซึ่งท่านสามารถกระทำได้ด้วยการดูภาพยนตร์ หรืออ่าน
        หนังสือในแนวตลกขบขัน
ติดต่อสังสรรค์กับแพทย์ เช่น นัดสังสรรค์ และกินอาหารเย็นด้วยกัน
ออกไปนอกบ้านด้วยการเดิน, ปั่นจักรยาน 
ปฏิบัติจิต (meditation)
นอนพักผ่อนให้มากขึ้น
อ่านวารสารต่างๆ

เมื่อแพทย์ตรวจร่างกายของท่านแล้ว ไม่พบสาเหตุทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ
ท่านควรทำใจให้สบาย เพราะความกังวลใจสามารถทำให้ความเคียดเพิ่มขึ้น  ซึ่ง
จะทำให้การเต้นของหัวใจของท่านเพิ่มมากขึ้น

การลดการดื่มแอลกอฮอล์ และกาแฟลงสามารถทำให้หัวใจของท่านเต้นเป็นปกติ
ได้ ยาต่างๆ รวมไปถึงการสูบบุหรี่จะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเต้นของ
หัวใจแรงขึ้น  ซึงเป็นความรับผิดชอบของท่านเอง

<<BACK     P.2: Bounding pulse – Underlying causes

อ้างอิง:
o www.healthline.com
o www.foundmyfitness.com
o www.livestrong.com