adsense

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

อันตรายจากสูดควันบุหรี่มือสอง...: Danger of the Secondhand smoke

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 30, 2015

จากการสัมผัสด้วยการสูดควันบุหรี่ของคนอื่น  นอกจากทำให้เกิด
โรคต่างๆ แล้ว  ยังสามารถทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรได้

จากรายงานของ Surgeon General’s Report (2014) กล่าวว่า...
นับตั้งแต่ปี 1964 เป็นต้นมา มีคนเสียชีวิตจากการสัมพันธ์กับการ
สูบบุหรี่ได้มากกว่า 20 ล้านคน (ในสหรัฐฯ) และในจำนวนดังกล่าว
มี 22. 5 ล้าน เป็นคนที่ไม่สูบ เป็นแต่เพียงสูดควันควันบุหรี่
นอกจากนั้น ยังพบว่า  ในสตรีที่สูบบุหรี่ในระหว่างตั้งครรภ์ เป็น
สาเหตุทำให้เด็กเสียชีวิตถึง 100,000 ราย

ควันบุหรี่มือสอง หรือ Secondhand smoke (SHS) อาจเรียกว่า
สูดควันบุหรี่จากสภาพแวดล้อม (ETS) ก็ได้

การสูดควันบุหรี่มือสอง เป็นการสูดควันบุหรี่จากสองรูปแบบด้วยกัน
นั้นคือ

Sidestream smoke: ควันจากก้นบุหรี่, หรือ ซิการ์
Mainstream smoke: เป็นควันจากคนสูบบุหรี่พ่นออกทางลมหายใจ

เราอาจคิดว่า ควันบุหรี่ทั้งสองรูปแบบเหมือนกัน แต่ตามเป็นจริงมีความแตก
ต่างกัน  โดยเราจะพบว่า ควันบุหรี่ที่ได้จาก sidestream…จะมีความเข็มข้น
สำหรับทำให้เกิดมะเร็ง (carcinogens)  และนอกจากจะมีพิษมากกว่าแล้ว
มันยังมีอนุภาคเล็กกว่าควันที่ได้จาก Mainstream smoke

เนื่องจากอนุภาคที่เล็กจากควันที่ได้จาก Sidestream มีขนาดเล็ก จึงทำให้
มันสามารถแทรกตัวเข้าสู่ปอด และเซลล์ได้ง่ายกว่า

เมื่อคนไม่สูบบุหรี่ไปสัมผัสกับควันบุหรี่ โดยไม่ตั้งใจ  หรือจำยอมต้องสูด
ควันบุหรี่  และเขาจะสูดเอาสาร nicotine และสารพิษ (toxic chemicals)
เช่นเดียวกับคนสูบบุหรี่โดยตรง  ยิ่งเราสูบควันดังกล่าวมากเท่าใด
โอกาสที่จะได้รับสารที่เป็นพิษเข้าสู่ร่างกายได้มากเท่านั้น

ปัญหาที่เกิดจากการสูดควันบุหรี่:

จากการสูดควันบุหรี่มือสอง ถูกพิจารณาว่า เป็น สารก่อมะเร็งในคน
(human carcinogen) โดย US Environmental Protection Agency
(EPA),The US National Toxicology Program และ The
International Agency for Research on Cancer (IARC)

ควันบุหรี่ เป็นส่วนผสมของแก๊ส และอนุนุภาคหลายชนิด โดยมีสาร
เคมีมากกว่า 7,000 ชนิด โดยมีมากกว่า 250 ชนิดเป็นสารเคมีที่มี
อันตราย และอย่างน้อย 69 ชนิด สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้

ควันบุหรี่ที่คนเราสูดเข้าไป มีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอด
นอกจากนั้น มันยังมีส่วนสัมพันธ์กับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง,มะเร็งเม็ดเลือด,
มะเร็งสมองในเด็ก, และมะเร็งกล่องเสียง, มะเร็งช่องคอ, ช่องจมูก,
สมอง, กระเพาะปัสสาวะ, ทวารหนัก, กระเพาะอาหาร และเต้านม

IARC ได้รายงานปี 2009 เอาไว้ว่า พ่อแม่ที่สูบบุหรี่ก่อนตั้งครรภ์
และในระหว่างตั้งครรภ์ มีแนวโน้มที่จะทำให้เด็กเกิดเป็นมะเร็งของตับ
ชนิด Hepatoblastoma โดยเชื่อว่า มะเร็งชนิดนี้ได้ก่อกำเนิดในขณะ
อยู่ในครรภ์ของมารดา

การสูดควันบุหรี่ในรูปแบบ “ควันบุหรี่มือสอง” สามารถทำให้
เกิดมะเร็งเต้านม (Secondhand smoke and breast cancer):

ผลจากการศึกษา พบว่า ควันบุหรี่ทั้งจากชนิด sidestream และจาก
Mainstream...ต่างมีสารเคมีที่มีความเข็มข้นสูง ซึ่งสามารถก่อให้เกิด
มะเร็งในหนูทดลอง  และยังพบในเนื้อเยื่อของนม และน้ำนม

ผลจากการศึกษาพบว่า การสูดควันบุหรี่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
ในเต้านม ปรากฏว่า  ในคนที่สูบบุหรี่ไม่สามารถพบความเสี่ยงต่อการ
เกิดมะเร็งในเต้านมได้อย่างชัดเจน  ซึ่งแตกต่างจากคนที่สูดควันบุหรี่
มือสอง โดยเขาอธิบายว่า  ที่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะว่า ผลของควัน
บุหรี่ที่มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม มีความแตกต่างกันระหว่าง
ควันบุหรี่ของคนสูบ กับคนที่ไม่ได้สูบ

ผลโดยสรุปจาก The California Environmental Protection Agency
ในปี 2005 สรุปเอาไว้ว่า การสูดควันบุหรี่ เป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็ง
ของเต้านม  แต่  The Surgeon General กลับมีความเห็นว่า...

ในขณะนี้ การสูดควันบุหรี่  อาจทำให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ แต่หลักฐาน
ที่ได้ยังไม่เพียงพอ  แต่มีเหตุผลพียงพอให้พวกเราทุกคนหลีกเลี่ยง
จากการสูดควันบุหรี่...


อ้างอิง:

www. Health.harvard.edu

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

การสูบบุหรี่ กับโรคหัวใจ : Smoking and Cardiovascular Disease

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 26, 2015

การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อน
เวลาอันควรได้มากที่สุด และจากสถิติของสหรัฐฯ พบว่า คนสูบบุหรี่
มีความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคเรื้อรังได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า มี
คราบไขมันในผนังของเส้นเลือดแดงต่างๆ, มะเร็งชนิดต่างๆ, และ
โรคหลอดลมอุดตันชนิดเรื้อรัง

เส้นเลือดแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งเกิดจากไขมันสะสมตามผนัง
ของเส้นเลือด เป็นตัวแปรที่สำคัญที่ทำให้เกิดการตายจากการสูบบุหรี่

ผลจากการศึกษาจำนวนไม่น้อย ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการ
สูบบุหรี่  ว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจจาก
หลอดเลือด ซึ่งนำไปสู่การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

มันเกิดได้อย่างไร ?
ข้อมูลต่อไปนี้ ต่างเป็นปัจจัยอิสระที่สามารถทำให้เกิดโรคหัวใจจาก
หลอดเลือดหัวใจ ได้แก่  ไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง, โรคความ
ดันเลือดสูง, การไม่ออกกำลังกาย, อ้วน และโรคเบาหวาน
ปัจจัยทั้ง 5 ประการดังกล่าว เป็นเรื่องที่เราสามารถจัด และควบคุม
 อย่างที่เราทราบกัน  มีการสูบบุหรี่กันอย่างกว้างขวาง โดยมีบางท่าน
ไม่ทราบว่าบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การทำให้เกิดโรค และความ
ตายที่สามารถป้องกันได้

การสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือด
ได้โดยตรง แต่เมื่อร่วมกับปัจจัยอื่นแล้ว จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงได้
มากขึ้น, เพิ่มความดันโลหิต, ลดความทนทานต่อการออกกำลังกาย
และเพิ่มแนวโน้มให้เกิดลิ่มเลือด

นอกจากนั้น ยังพบว่า การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อเกิดโรคหลัง
การผ่าตัดเกี่ยวกับเส้นเลือดหัวใจ (bypass surgery)

ยิ่งกว่านั้น การสูบบุหรี่ของคนหนุ่ม-สาว ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้
เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้มากกว่าคนที่มีอายุมากกว่า
50 ปี ขึ้นไป

สำหรับสตรีที่ใช้ยาคุมกำเนิด และสูบบุหรี่ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการ
เกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือด และภาวะสมองขาดเลือด โดยพบได้
มากกว่าสตรีที่ไม่สูบบุหรี่

สุดท้ายการสูบบุหรี่จะลดไขมันดี HDL cholesterol ลง และเมื่อมี
ประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้
สูงขึ้น

ต้องระวัง !


American Heart Organization

About Resveratrol

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 28, 2015

Resveratrol เป็นสารชนิดหนึ่ง ถูกสกัดได้เป็นครั้งแรกในปี 1940s
ซึ่งเราสามารถพบได้ในพืชหลายชนิด รวมทั้งองุ่น (grapes) โดย
ผลของการวิจัยพบว่า หนึ่งในส่วนประกอบของไวน์แดงมีคุณสมบัติ
หลายอย่าง เช่น ต่อต้านมะเร็ง และ ต่อต้านไม่ให้แก่ตัว...

Resveratrol เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการป้องกัน... ถูกสร้างจาก
องุ่น และพืชชนิดอื่น ๆ โดยการตอบสนองต่อความเครียด

ผลจากการศึกษาพบว่า ผลที่ได้จากสาร Resveratrol มีคุณสมบัติ
ต่อต้านอนุมูลอิสระ และมีความสามารถในการยับยั้งไม่ให้เกล็ดเม็ด
เลือดรวมตัว  ซึ่งเป็นสารต้านการสร้างก้อนเลือด

จากคุณภาพดังกล่าว มันอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระทั่ว
ร่างกาย  และทำหน้าที่ปกป้องระบบหัวใจ และเส้นเลือดเอาไว้
ในไวแดงยังมี่สารที่เราเรียก tannins เป็นสารที่ออกฤทธิ์เป็นสารต่อ
ต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้ทำลายเซลล์ทั้งหลาย

ในไวน์แดงมีสาร resveratrol โดยเราจะพบสารดังกล่าวได้ประมาณ
1.5 – 3 มิลลิกรัม ต่อไวน์หนึ่งลิตร

ตามเป็นจริง มีผลการศึกษาบางชิ้นจะโฟกัสผลประโยชน์ของสารที่มี
ต่อสุขภาพ โดยใช้ในขนาดสูงๆ มากกว่าปริมาณที่กำหนดให้ดื่มกัน
ตามปกติ (ไวน์ในปริมาณ 5 ออนซ์ หรือประมาณ 150 ซีซี)

เนื่องจากเราพบสาร resveratrol ที่เปลือกของผลองุ่น จึงทำให้ไวน์
แดงมีประมาณของสารดังกล่าวมากกว่าไวน์ขาวหลายเท่า
โดยเราจะเห็นว่า ในกระบวนการหมักไวน์แดง เขาจะไม่กำจัดเอาเปลือก
ขององุ่นออก ส่วนไวน์ขาวนั้น เขาจำกำจัดเอาเปลือกขององุ่นออก
ก่อนที่จะทำการหมัก เป็นเหตุให้ไวน์ขาวมีสาร resveratrol มีความ
เข็มข้นน้อยกว่าไวน์แดง

สาร resveratrol ถูกทำลายด้วยแสง และออกซิเจนได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ไวน์จะถูกเก็บไว้ในที่ไม่ให้อาการเข้าได้, ห้องเย็น ห่างจากแสง
เพื่อป้องกันไม่ให้สาร resveratrol ถูกทำลาย  ดังนั้น จึงเห็นว่า
ประสิทธิภาพของ resveratrol จะมีค่าสูงสุดเมื่อเมื่อขวดไวน์ถูกเปิด
ท่านจะต้องดื่มทันที

อ้างอิง:

o www.webmd.com
o www.reducetriglycerides.com
o www.mayoclinic

สำหรับท่านที่ชอบดื่มไวน์แดง : About red wine

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 28, 2015


เราได้รับทราบจากผลการวิจัย  ซึ่งรายงานเอาไว้ว่า...
การดื่มไวน์แดงในระดับพอประมาณ สามารถให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจ
โดยเขาให้เหตุผลว่า ภายในไวน์แดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants)
ปรากฏในเปลือก และเมล็ดขององุ่นแดง ซึ่งออกฤทธิ์ปกป้องหัวใจไม่ให้เกิด
โรคได้

นักวิจัยเชื่อว่า สารที่เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ มีชื่อเรียก flavonoids สามารถ
ลดความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือด (CHD) ได้  3 ทาง
ด้วยกัน คือ:

ลดการสร้างไขมัน LDL cholesterol ซึ่งรู้ในชื่อไขมันเลว
ทำให้ปริมาณ และคุณภาพของไขมัน HDL cholesterol เพิ่มขึ้น
        (HDL-C เป็นไขมันดี) และ
ลดการจับตัวของเม็ดเลือดไม่ให้เป็นก้อน

ผลของการดื่มแอลกอฮอล์ได้ถูกบันทึกเป็นหลักฐานว่า...
การดื่มในระดับพอประมาณสามารถเพิ่มระดับไขมันดี HDL-C และป้องกัน
ไม่ให้เม็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่มเลือดได้

นั้นคือความเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์อันเกิดจากเหล้าไวน์ (red & white)
ดังนั้น การดื่มเพียงหนึ่งดื่มมาตรฐาน (one drink) โดยหมายความว่า ดื่ม 5 ออนซ์
หรือประมาณ 150 ซีซี ร่วมกับการรับประทานอาหาร จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ของท่านเอง

ถ้าท่านดื่มไวน์มากกว่า 5 ออนซ์ ประโยชน์ต่อร่างกายที่พึงได้จะหายไปหมด
แต่ถูกแทนที่ด้วยปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ  ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ไม่ว่าไวน์ที่ท่าน
ดื่มจะเป็นชนิดใดไม่สำคัญ  แต่จำนวนที่ท่านดื่มต่างหากที่เป็นตัวแปร...
ที่ทำให้เกิดประโยชน์ หรือโทษแก่ท่าน

Alcohol and Sugar

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 28, 2015

แอลกอฮอล์ทีท่านดื่ม มันสามรถลดปริมาณของเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่
สลายไขมัน Triglycerides (TG) พร้อมกับเร่งให้ตับสร้าง TG ได้เพิ่มขึ้น

มีคนบางคนมีความไวต่อการเพิ่มระดับ triglycerides ด้วยการตอบ
สนองต่อการดื่มแอลกอฮอล์  ในกรณีที่ท่านไม่เป็นเบาหวาน
และเป็นคนดื่มอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ  ท่านสามารถลดระดับTG
ลงได้ด้วยการเลิกดื่มแอลกอฮอล์

จากการทำให้ตับทำงานหนัก ด้วยการลดสมรรถนะในการทำลายพิษ
ของแอลกอฮอล์  แอลกอฮอล์ยังสามารถทำลายเส้นเลือดด้วย

เมื่อตับมัววุ่นอยู่กับกำจัดแอลกอฮอล์นั้น  ตับจะไม่สามารถจัดการกับ
ไขมัน cholesterol ได้ตามปกติ เป็นเหตุให้ระดับ cholesterol ใน
กระแสเลือดสูงขึ้น

นอกจากนั้น  เรายังพบว่า แอลกอฮอล์จะทำให้ยาลดไขมันออกฤทธิ์
ได้เพิ่มขึ้นจนเป็นพิษ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับการใช้ยา statins  ดังนั้น
เพื่อป้องกันการผลอันไม่พึงประสงค์ดังกล่าว  เมื่อมีการกินยาลดไขมัน
Statin ท่านไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันขาด

จากการใช้ยา statin ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำทุกวัน
ตับของท่านมีโอกาสถูกทำลายได้

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

ไขมันที่ถูกลืม :Triglycerides (TG)

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์ 
March 25, 2015

ท่านอาจจะรู้เรื่องไขมันคอเลสเตอรอล total, LDL cholesterol และ
HDL-C ของตัวเองเป็นอย่างดี แต่มีบางท่านอาจไม่รู้ว่าระดับไขมัน
Triglycerides (TG) เป็นอย่างไร...สูงหรือไม่ ?

โดยทั่วไป  คนส่วนใหญ่จะไม่ให้ความใส่ใจกับไขมัน TG เท่าที่ควร
แต่มีหลักฐานจำนวนไม่น้อยบอกให้ทราบว่า ไขมัน TG อาจมีความสำคัญ
ไม่แพ้ไขมัน Cholesterol ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของหัวใจ
โดยเฉพาะในกรณีที่ท่านมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวจากหลอดเลือด
เช่น  เป็นโรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคอ้วน, และประวัติ
ครอบครัวว่า เป็นโรคหัวใจจากหลอดเลือดแดง

ประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับไขมัน TG:
ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (TG) จะไหลเวียนภายในกระแสโลหิต เหมือนกับ
ไขมัน Cholesterol โดยคนเราได้ไขมันดังกล่าวจากอาหารเป็นส่วนใหญ่
และร่างกายสามารถสร้างได้เองเป็นส่วนน้อย

ในสมัยก่อนถกกันในประเด็นว่า  ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์มีบทบาทสำคัญ
ในการบกบอกว่า คนไข้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจจากหลอดเลือดได้หรือไม่ ?

มีบางท่านบอกว่า ไขมัน TG ไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงอิสระต่อการทำให้เกิด
โรคหัวใจจากหลอดเลือด (CHD)… มันเป็นแต่เพียงตัวบ่งชี้ว่า คนไข้มีแนว
โน้มที่จะเกิดโรค CHD เท่านั้น โดยเขาให้ความเห็นว่า การมีระดับไขมัน TG
ในระดับสูง มี่แนวโน้มที่จะมีปัญหาทางสุขภาพอย่างอื่น เป็นต้นว่า เป็นโรค
อ้วน, ความดันเลือดสูง, เบาหวาน, มีระดับ LDL-C สูง และ HDL-C ต่ำ
ซึ่งต่างเป็นปัจจัยเสียงต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือดได้ทั้งนั้น

ผลจากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ ได้พบข้อมูลที่เชื่อได้ว่า..
การมีระดับไขมัน TG ในกระแสเลือดสูง เป็นปัจจัยอิสระต่อการทำให้เกิด
โรคหัวใจ (CHD)   และเป็นอาการบกบอกให้ทราบว่า คนๆ นั้นมีปัจจัย
เสี่ยงอย่างอื่นต่อการทำให้เกิดโรค CHD ด้วย

จาก The National Cholesterol Education Program แนะนำเอาไว้
ว่า ระดับ Triglycerides ควรมีค่าต่ำกว่า 150 mg/dL, ถ้า TG อยู่ใน
ระดับ 150 – 199 mg/dL ให้ถือเป็นระดับสูง (borderline high) ถ้า
ค่าของ TG มีค่าตั้งแต่ 200 mg/dL ขึ้นไป ถือว่าเป็นค่าที่สูง

โดยสรุป...
ในทุกครั้งที่แพทย์สั่งให้ท่านทำการตรวจไขมันในเลือด... อย่างลืมบอก
ให้แพทย์ตรวจหาระดับของไขมัน TG ด้วย

อ้างอิง...

o http://www.healthafter 50.com

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

อาหารประเภทไขมัน..: Truth about the fats – Good fats

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 25, 2015

Good fats
เราสามารถพบไขมันที่ดีได้จากอาหารประเภทผักต่างๆ, ถั่ว, เมล็ดพืช,
และปลา โดยที่ไขมันที่ดีดังกล่าว จะแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวตรงที่มีอะตอมของ
ไฮโดรเจน ที่จับตัวกับคาร์บอน...ในปริมาณน้อยกว่า

ไขมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ จะเป็นน้ำในอุณหภูมิของห้อง ซึ่งมีสองชนิดด้วยกัน
คือ  ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียว (monounsaturated) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
( polyunsaturated fats):

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats):
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เป็นไขมันที่มีอะตอมของไฮโดรเจนน้อยกว่าไขมัน
อิ่มตัว เป็นเหตุให้ไขมันดังกล่าวเป็นน้ำในอุณหภูมิของห้อง โดยเราพบได้ไขมัน
ดังกล่าวในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันจากผลโอลีฟว์ ( olive oil), น้ำมันถั่วลิสง
(peanut oil), น้ำมันคาโนล่า (canola oil), อะโวกาโด (Avocados), และ ผลไม้
เปลือกแข็ง ถั่ว (nuts) ทั้งหลาย, รวมถึงน้ำมันดอกคำฝอย(safflower)
และน้ำดอกมันทานตะวัน (sunflower oils)

เราทราบได้อย่างไรว่า monounsaturated fats มีประโยชน์ต่อสุขภาพ...?

การศึกษาของ The Seven Country ในปี 1960s ได้พบความจริงว่า
ประชาชนในประเทศ Greece และอาศัยในส่วนอื่นๆ ของ Mediterranean region
มีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำ  ทั้งๆ ที่พวกเขารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง แต่
อาหารที่พวกเขารับประทานเป็นไขมันสูงจริง  ซึ่งเป็นไขมัน olive oil
(monounsaturated fat)

แม้วา เราไม่พบคำแนะนำให้ใช้ monounsaturated fats ก็ตาม...
แต่จากสถาบัน The Institute of Medicine ได้แนะนำให้กินไขมันตัวนี้ร่วมกับการรับ
ประทานอาหารที่มี polyunsaturated fats ให้มากที่สุด เพื่อเป็นการทดแทนไขมัน
อิ่มตัว และไขมันทรานซ์

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated fats):
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อ เป็นไขมันที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย  โดย
ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างไขมันชนิดดังกล่าวได้ จำเป็นต้องได้รับไขมันดังกล่าว
จากอาหาร

ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน จะถูกนำไปใช้ในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ และเยื่อหุ้มเส้น
ประสาท  นอกจากนั้น ยังมีความจำเป็นต่อการจับตัวของเม็ดเลือด, การทำงานของ
กล้ามเนื้อ และการอักเสบ

ตัวอย่างของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่พบที่รู้จักกันโดยทั่วไป ได้แก่ omega-3 และ
Omega-6 fatty acids โดยไขมันทั้งสองชนิดต่างมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

การรับประทานอาหารพวกไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) แทน
การรับประทานไขมันอิ่มตัว (saturated fats) หรือพวกคาร์โบฯ ทีผ่านการขัดสี
(refined carbohydrates)  สามารถลดอันตรายจากไขมันอันตราย LDL-C และลด
ระดับของ triglycerides ลงได้

สำหรับไขมัน omega-3 fatty acids พบได้ในมันปลา เช่น ปลาแซลมอน, ซาร์ดิน,
ในผลไม้วอลนัท, และไขมันแคโนล่า และน้ำมันถั่วเหลือง

เราเชื่อว่า Omega-3 อาจช่วยป้องกัน หรือแม้กระทั้งรักษาโรคหัวใจ และสมองขาด
เลือดได้  นอกจากนั้นมันยังสามารถลดระดับความดันโลหิต, เพิ่มระดับของไขมันดี
HDL, ลดไขมัน triglycerides ได้

ผลจากการศึกษาชี้ให้เห็นถึงผลของ omega-3 อาจทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น,
ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม

Omega-6 fatty acids มีส่วนต่อการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ
โดยเราสามารถพบไขมันชนิดนี้ในน้ำมันพืช เช่น ดอกคำฝอย (safflower),
ถั่วเหลือง (soybean), ดอกทานตะวัน (sunflower),วอลนัท (walnut), และ
น้ำมันข้างโพด (corn oil)

โดยสรุป  เพื่อสุขภาพ เราจำเป็นต้องจำกัดอาหารที่เป็นไขมันอิ่มตัว และพวกไขมัน
ทรานซ์ลง โดยหันไปรับประทานอาหารที่เป็นไขมันชนิดดีแทน ซึ่งได้แก่ไขมัน
ไม่อิ่มตัวทั้งเชิงเดี่ยว และเชิงซ้อนให้มาก


<<BACK 

อ้างอิง : Harvard Health Publication

อาหารประเภทไขมัน: P.2: Truth about the fats – In between fats (saturated fat)

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 25, 2015


สำหรับไขมันอิ่มตัว (saturated fats)
เราสามารถพบไขมันอิ่มตัวได้ในเนื้อสัตว์ (beef, ramb), นมสัตว์
รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม, เนย, น้ำมันมะพร้าว และอาหารสำเร็จรูปชนิดต่างๆ

เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว (saturated fats) ในปริมาณมาก
จะทำให้ระดับของไขมัน -Total Cholesterol ในกระแสเลือดสูงขึ้น จนเป็นเหตุ
สูญเสียความสมดุลของไขมันในร่างกายไป โดยทำให้ระดับของ LDL-C สูงขึ้น
ยังผลให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดแดงของหัวใจ และอวัยวะอื่นๆ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว นักโภชการทั้งหลายจึงให้คำแนะนำเอาไว้ว่า
ในวันหนึ่งๆ เราไม่ควรรับประทานไขมันอิ่มตัวเกิน 10 % พลังงานทั้งหมด

มีรายงานมากมายที่บ่งบอกให้ทราบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างไขมัน
อิ่มตัว (saturated fats) และโรคหัวใจ (heart disease)

จากการวิเคราะห์ผลของการวิจัยจำนวน 21 ชิ้นไม่ ปรากฏหลักฐานพอที่จะสรุป
ได้ว่า ไขมันอิ่มตัวเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจ  และการใช้ไขมันไม่
อิ่มตัว (polyunsaturated fat) อาจลดความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจได้

มีผลการศึกษาอีกสองชิ้น สรุปเอาไว้ว่า การทดแทนอาหารที่เป็นไขมันอิ่มตัว
ด้วยไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันพืช หรือ พวกคาร์โบไฮเดรตที่มีใยสารอาหารสูง
เช่น ข้าวกล้อง จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ


<< BACK   NEXT >> Truth about fats: Good fats

อาหารประเภทไขมัน: Truth about the fats – Trans fats

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 25, 2015

เราทุกคนจำเป็นต้องได้รับอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันบ้างเล็กน้อย
แต่หากได้รับมากเกินไปย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว (saturated fat)
เพราะมันสามารถเพิ่มระดับไขมัน cholesterol ซึ่งเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด
โรคหัวใจ  ดังนั้น เราจึงต้องตัดปริมาณไขมันดังกล่าวลง และเลือดรับประทานอาการ
ที่มีไขมันที่เป็นประโยชน์ เช่น ไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fat)

นอกจากจำกัดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ซึ่งพบได้ในอาหารที่ทำจากสัตว์
และที่ได้จากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว (coconut oil) เรายังจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงไขมัน
อีกตัวหนึ่ง  ซึ่งมีในอาหารที่เป็นขนมกรอบทั้งหลาย มีชื่อเรียกไขมันทรานซ์

ตามเป็นจริง ร่างกายของคนเราต้องการไขมันที่ได้จากอาหาร โดยเป็นอาหารหลัก
เพื่อใช้ในการดูดซึมแร่ธาตุ และไวตามินบางอย่าง,  มีส่วนในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์
รวมถึงเยื่อหุ้มเส้นประสาททั้งหลาย

ไขมันมีความสำคัญต่อการทำให้เลือดแข็งตัว, การทำงานของกล้ามเนื้อ เพื่อการ
เคลื่อนไหว, และการอักเสบภายในร่างกาย (inflammation)

สำหรับการควบคุมอุณหภูมิความร้อนให้แก่ร่างกาย...
ปรากฏว่า ไขมันบางชนิดจะดีกว่าไขมันชนิดอื่นๆ

ไขมันที่อยู่รอบตัวเรา  สามารถแบ่งเป็น 3 กล่ม:

ไขมันชนิดดี (Good Fats) อันได้แก่ monosaturated และ
Polyunsaturated fats
ไขมันชนิดไม่ดี (Bad fats) ได้แก่ไขมันที่ได้จากการสังเคราะห์
จากโรงงาน เช่น Trans fats
ไขมันชนิดที่อยู่ระหว่างชนิดดี กับชนิดไม่ได้ (in-between) เช่น
ไขมันอิ่มตัว (saturated fats)

โครงสร้างของไขมันทุกตัว  จะมีลักษณะเหมือนกัน  นั้นคือสายของอะตอมของคาร์บอนด์
จะจับตัวกับอะตอมของไฮโดรเจน  ซึ่งแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันตรงที่รูปร่าง และ
ความยาวของสายคาร์บอนด์  กับจำนวนอะตอมของไฮโดรเจน ที่จับตัวกับอะตอมคาร์บอนด์
ทำให้ไขมันแต่ละชนิดมีมีรูปร่าง และการทำงานแตกต่างกัน

ไขมันชนิดเลว (Bad fats)
ไขมันที่ได้ชื่อว่าเป็นไขมันเลวที่สุด มีชื่อเรียก trans fat บางคนเรียกมันว่า ไขมันมฤตยู
เพราะมันสามารถนำโรคร้ายมาสู่ผู้คนได้  โดยเป็นผลผลิตอันเกิดจากกระบวนการทางเคมี
เรียก ไฮโดรจีเนซั่น (hydrogenization)  โดยทำให้ไขมัน”ไม่อิ่มตัว”  (unsaturated fat)
ให้กลายเป็นไขมัน “อิ่มตัว” (saturated fat)

น้ำมันพืชที่ถูกทำให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัว  ถูกนำมาใช้ในวงการอาหารกันอย่างกว้างขวาง
เช่น ในการทำขมปังชนิดต่างๆ ทำให้ขนมที่ผลิตมีความคงทนต่อการเกิดออกซิเดซั่น
ทำให้ขนมอยู่ได้นาน เช่น ขนมคุกกี้ (cookies) ...จนกระทั้งถึงมันฝรั่งทอด (French fries)

เมื่อท่านรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานซ์เข้าไป  มันจะทำให้ปริมาณของไขมัน LDL-C
ซึ่งเป็นไขมันอันตรายในกระแสเลือดสูงขึ้น และ ทำให้ไขมันที่มีคุณภาพดี- HDL-C ลดลง

ไขมันทรานซ์  ทำให้เกิดการอักเสบ (inflammation) ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับการทำให้เกิด
ปัญหาทางสุขภาพได้หลายอย่าง เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจ และสมองขาดเลือด, เบาหวาน,
และโรคเรื้อรังชนิดอื่นๆ, ลดการตอบสนองของเนื้อเยื่อต่างต่ออินซูลิน เป็นเหตุให้เกิด
ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2

ผลการวิจัยจาก Harvard  School of Public Health และจากที่อื่นพบว่า…
ไขมันทรานซ์  ในปริมาณแค่ 2% ต่อวัน  ก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ด้วย
การเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 23%


NEXT>> P. 2 :Truth about fats - In-between fats

น้ำตาล กับไตรกลีเซอไรด์: Sugar and Triglycerides P.2 continued

นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 26,2015

น้ำหวานทั้งหลาย...
The American Heart Association (AHA) ได้รายงานอาไว้ว่า:
คนที่ชอบดื่มของหวานเป็นจำนวนมาก  โดยที่ของหวานเหล่านั้นต่างมีน้ำตาล
ที่สามารถให้พลงาน (calories) เพิ่มมากขึ้นตลอดทั้งวัน จะทำให้น้ำหนักตัว
เพิ่มได้มากกว่าคนไม่ดื่มของหวาน

และเพื่อป้องกันไม่ให้ระดับ Triglycerides เพิ่มสูงขึ้น...
AHA ได้แนะนำให้คนเรารับประทานอาหาร 2,000 คาลอรี่ / วัน โดยดื่มน้ำหวาน
ได้ไม่เกิน 36 ออนซ์ (36x30 ml) ต่อหนึ่งอาทิตย์

น้ำตาลฟลุกโตส (Fructose)
นอกเหนือจากน้ำตาลแล้ว  น้ำตาลที่ได้จากผลไม้ก็ควรได้รับการใส่ใจเช่นกัน
เพราะน้ำตาลที่ได้จากผลไม้ หรือ ฟลุกโตส เป็นน้ำตาลที่ได้จากธรรมชาติ
หากเรารับประทานผลไม้มากเกินไป  ย่อมสามารถเพิ่มระดับของไขมัน TG ใน
กระแสเลือดสูงขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หมายความว่า  เราจะต้องงดเว้นการรับประทานผลไม้
โดยสิ้นเชิง ให้รับประทานได้ แต่ให้จำกัดระดับน้ำตาลฟลุกโต๊ส  โดยลดลง
ให้เหลือเพียง 50-100 กรัม ต่อ วัน

ยกตัวอย่าง: ผลไม้ประเภทกล้วย ลูกขนาดใหญ่ มีฟลุกโต๊สประมาณ 7 กรัม,
แอปเปิลรวมทั้งเปลือกมีฟลุกโต๊สประมาณ 13 กรัม


<<BACK

น้ำตาล กับไตรกลีเซอไรด์: Sugar and Triglycerides P.1

นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 26,2015

การมีระดับของ triglycerides ในกระแสเลือดสูง...
นอกจากเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจจากเส้นเลือดแดงของหัวใจ,
ยังทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวาน, และโรคไขมันพอกตับ

ตามเป็นจริงสมาคม The American Heart Association ได้รายงานเอาไว้ว่า
คนหนุ่มที่มีไขมัน triglycerides ในกระแสเลือดสูงมีโอกาสเกิดโรคหัวใจ
และสมองขาดเลือดได้มากกว่าคนหนุ่มที่มีระดับของ TG อยู่ในระดับปกติ
และการ]fปริมาณอาหารที่เป็นน้ำตาลลง  สามารถลดระดับของ TG ลงได้

คำถามมีว่า...
น้ำตาลทำให้ระดับไขมัน triglycerides (TG) ได้อย่างไร ?

ตามเป็นจริงมีว่า  น้ำตาลไม่มีประโยชน์ในด้านโภชนาการแม้แต่น้อย  และ
เราจะพบว่า สารทีทำให้อาหารมีความหวานทั้งหลายสามารถให้พลังงานเพิ่ม
แก่ร่างกายได้  และเมื่อท่านได้รับพลังงานเพิ่มจากการรับประทานของหวาน
มันสามารถเปลี่ยนไปเป็นไขมัน TG และถูกสะสมเอาไว้ในร่างกาย เป็นพลัง
สำรองสำหรับใช้ในยามต้องการ

เมื่อมี TG ในปริมาณสูง มันสามารถลงเอยด้วยการเกิดเป็นคราบ (plaques)
เกาะตามผนังของเส้นเลือดแดง และทำให้เกิดการอุดตัน ทำให้เกิดภาวะ
แทรกซ้อนที่น่ากลัว เช่น ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจ และสมองขาดเลือด

การหลีกเลี่ยงไม่ให้มีระดับ TG ในกระแสเลือดสูง...
เราจำเป็นต้องจำกัดการรับประทานน้ำตาล ซึ่งเป็นตัวบ่อเกิดให้ระดับของ TG
ในกระแสเลือดสูง  โดยจำกัดให้ลดลงเหลือแค่ 8% ของพลังงานที่ได้รับ
ในหนึ่งวัน สมมุติ ท่านรับประทานอาหาร 2,000 calories ท่านไม่ควรรับ
ประทานน้ำตาลไม่เกิน 160 แคลอรี่

น้ำตาล 1 กรัมจะให้พลังงาน 4 calories เพื่อไม่ให้เกิน 160 calories…
นั้นหมายความวา  ท่านจะต้องรับประทานน้ำตาลไม่เกิน 4 กรัม / หนึ่งวัน
ซึ่งท่านสามารถกระทำได้ด้วยการจำกัดของหวานทุกชนิด เป็นต้นว่า...
ชอคโกแลท, แคนดี้, น้ำตาลทราย (table sugar), น้ำผึ้ง (honey),
ของหวาน ขนมหวาน (desserts)


NEXT >> P.2 : continued

Carbohydrates and triglycerides


นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 26, 2015


ไขมัน triglycerides เป็นไขมันที่ถูกใช้ในระยะยาวภายในร่างกาย
จากพฤติกรรมไม่เหมาะสมสามารถนำไปสู่การทำให้ระดับของ TG ในกระแสเลือด
สูงขึ้น, เพิ่มความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดลิ่มเลือด และโรคหัวใจ และเส้นเลือด

การกินน้ำตาลเชิงเดียว (simple sugar) เช่น น้ำตาลกลูโกส, ฟลุกโตส และ,
แลคโทส เป็นตัวแปรที่สำคัญ ซึ่งสามารถทำให้ระดับของ triglycerides ใน
กระแสเลือดสูงขึ้น

Triglycerides (TG):
TG เป็นไขมันชนิดหนึ่ง พบได้ในอาหารเสียเป็นส่วนใหญ่ และส่วนน้อยพบใน
กระแสเลือด ซึ่งถูกสะสมในร่างกายในระยะยาว สำหรับใช้เป็นพลังงาน โดยอาศัย
โปรตีนชื่อ lipoproteines  เป็นตัวนำพาให้ไหลเวียนในกระแสเลือด  และสามารถ
ทำให้เกิดคราบของไขมันในผนังของเส้นเลือดต่างๆ

การรับประทานอาหารที่ไร้คุณภาพ และการมีวิถีชีวิตทำงานนั่งโต๊ะ จะนำไปสู่
การทำให้ระดับของไขมันทุกชนิดในกระแสเลือดสูงขึ้น (hyperlipidemia) โดยเรา
สามารถพบระดับของ TG สูงได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีระดับความดันโลหิตสูง หรือ
มีระดับ cholesterol สูง

บทบาทของ “คาร์โบไฮเดรต” (carbs)
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกชนิด ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
จะถูกทำให้แตกสลายเป็นน้ำตาลเชิงเดียวเสียก่อน  โดยเราพบว่าคาร์โบไฮเดรต
บางชนิดถูกทำให้แตกสลายเป็นน้ำตาลได้อย่างรวดเร็ว  บางชนิดแตกสลาย
เป็นน้ำตาลได้ช้า

เมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มสูงภายหลังรับประทานอาหาร  ร่างกาย
จะปล่อยฮอร์โมน “อินซูลิน” ออกมา เพื่อบอกให้เซลล์ได้ทราบว่า ถึงเวลา
จะต้องใช้น้ำตาลในกระแสเลือด...

ในกรณีที่ร่างกายมีกิจกรรมต่ำ หรือเป็นเพราะมีน้ำตาลในกระแสเลือดสูงตลอด
เวลา ปริมาณน้ำตาลบางส่วนจะถูกกำจัดออกจากกระแสเลือดทางปัสสาวะ
แต่ส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนไปเป็น TG และสะสมเอาไว้ในร่างกาย

ในกรณีที่มีการสร้าง TG ในปริมาณสูง ร่วมกับการต่อต้านการรวมตัวของ
ไขมันเร็วเกินไป ย่อมนำไปสู่การมีไขมัน TG ในกระแสเลือดสูงขึ้น


NEXT >> P.2- continued

ประเด็นที่น่ารู้เกี่ยวกับความอ้วน : Obesity Information

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 27, 2015

คนอ้วนจะมีค่าของดัชนีมวลกาย (Body mass index) ของท่านมีค่า
ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป  โดยความอ้วนจะถูกนำไปใช้เพื่อบอกกล่าวให้ทราบว่า
ท่านมีสุขภาพไม่ดี

การเป็นคนอ้วน จะทำให้ท่านมีความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดปัญหาทาง
สุขภาพ เป็นต้นว่า โรคหัวใจ, สมองขาดเลือด, ความดันโลหิตสูง,
โรคเบาหวาน และอื่น ๆ
ระดับน้ำหนักที่ดี (healthiest weight)
ทุกคนต่างมีความปรารถนาที่จะมีน้ำหนักเป็นปกติ
และในการลดน้ำหนักลงได้เพียงบางส่วน  สามารถทำให้คนเราได้รับ
ประโยชน์ในระบบหัวใจ และเส้นเลือด ดังนั้นทุกขั้นตอนของการลดน้ำหนัก
จึงเป็นการกระทำ เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในระดับปกติให้ได้
เมื่อน้ำหนักตัวของท่านเป็นปกติ จะทำให้:

การไหลเวียนของเลือดในร่างกายจะมีประสิทธิภาพดีกว่า
ส่วนประกอบของน้ำที่อยู่ในร่างกาย สามารถจัดการได้ง่ายกว่า
มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, มะเร็งบางอย่าง
และ หยุดหายใจระหว่างนอนหลับ (sleep apnea)ได้น้อยลง

ความหมายของความอ้วน:
การเป็นคนอ้วน หมายถึงการมีไขมันในร่างกายมีมากไปนั้นเอง
โดยปกติร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ, ไขมัน, โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต
และไวตามินกับแร่ธาตุต่างๆ

ถ้าท่านมีไขมันมากไป โดยเฉพาะมีไขมันในบริเวณรอบๆ เอว...ท่านจะมี
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า โรคความดันเลือดสูง,
เบาหวาน และมีระดับไขมัน cholesterol ในกระแสเลือดสูง
ความอ้วนของท่านสามารถทำให้เกิด:

เพิ่มระดับไขมัน cholesterol และ triglycerides ให้สูงขึ้น
ลดระดับไขมันดี HDL-C
เพิ่มระดับความดันโลหิตให้สูงขึ้น
ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ในบางคน
(โรคเบาหวานทำให้ปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นเลวลง  รวมถึงการทำให้เกิด
ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ และสมองถูกทำลายจาก
การขาดเลือด)

ความอ้วนนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และสมองถูกทำ
ลายจากการขาดเลือดแล้ว  ความอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ้วใน
ถุงน้ำดี, โรคไขข้ออักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจ

การทำงานร่วมกับแพทย์เพื่อลดน้ำหนัก:
พวกเราวัยผู้ใหญ่ควรคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อย่างน้อยปีละครั้ง
โดยท่านสามารถคำนวณหาค่าดังกล่าวได้จาก BMI calculator online หรือ
คำนวณจากสูตร:

ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว/ความสูงยกกำลังสอง
ท่านที่มีค่า BMI 30 หรือมากกว่า ถือว่าท่านเป็นโรคอ้วน ซึ่งควรได้รับการ
จัดการลดน้ำหนักให้เป็นปกติด้วยการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม...ควบคุม
เรื่องอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

อ้างอิง:
o www.heart.org/

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

ไขมันที่ถูกลืม :Triglycerides (TG)


นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์ 
March 25, 2015

ท่านอาจจะรู้เรื่องไขมันคอเลสเตอรอล total, LDL cholesterol และ
HDL-C ของตัวเองเป็นอย่างดี แต่มีบางท่านอาจไม่รู้ว่าระดับไขมัน
Triglycerides (TG) เป็นอย่างไร...สูงหรือไม่ ?

โดยทั่วไป  คนส่วนใหญ่จะไม่ให้ความใส่ใจกับไขมัน TG เท่าที่ควร
แต่มีหลักฐานจำนวนไม่น้อยบอกให้เราทราบว่า ไขมัน TG อาจมีความสำคัญ
ไม่แพ้ไขมัน Cholesterol ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของหัวใจ
โดยเฉพาะในกรณีที่ท่านมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวจากหลอดเลือด (CHD)
เช่น  โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคอ้วน, และ,uประวัติครอบครัว
เป็นโรคหัวใจจากหลอดเลือดแดง

ประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับไขมัน TG:
เราจะพบไขมัน TG  ไหลเวียนภายในกระแสโลหิต เหมือนกับไขมันชนิดอื่น
(Cholesterol) โดยเราได้ไขมันดังกล่าวจากอาหารเป็นส่วนใหญ่
และสร้างในร่างกายได้เป็นส่วนน้อย

ในสมัยก่อน ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างถกเถียงกันในประเด็นของ TG
มีบทบาทในการคาดเดาว่า  ไขมัน TG ไม่ใช้ปัจจัยเสี่ยงอิสระต่อการทำให้
เกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือด (CHD) แต่มันเป็นเพียงข้อบ่งบอกว่า
เขาอาจมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพอย่างอื่น  เช่น โรคความอ้วน,
ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, มีระดับไขมัน  LDL-C  สูง,
และไขมัน HDL-C ต่ำ

จากการที่มีโรค หรือภาวะดังกล่าว จะทำคนๆ นั้นมีความเสี่ยงอิสระต่อการ
เกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือด (CHD) ได้สูงมาก

อย่างไรก็ตาม  ผลจากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ ชี้ ให้เห็นว่า การมีระดับ
ไขมัน TG ในกระแสเลือดสูงถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันเป็นปัจจัยเสียง
อิสระต่อการทำให้เกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือด  และยังเป็นตัวชี้บอกให้
ทราบว่า เขายังมีปัจจัยเสียงอย่างอื่นต่อการทำให้เกิดโรค CHD ด้วย

จาก The National Cholesterol Education Program แนะนำเอาไว้
ว่า ระดับ Triglycerides ควรมีค่าต่ำกว่า 150 mg/dL, ถ้า TG อยู่ใน
ระดับ 150 – 199 mg/dL ให้ถือเป็นระดับสูง (borderline high) ถ้า
ค่าของ TG มีค่าตั้งแต่ 200 mg/dL ขึ้นไป ถือว่าเป็นค่าที่สูง

โดยสรุป...
ในทุกครั้งที่แพทย์สั่งให้ท่านทำการตรวจไขมันในเลือด... อย่างลืมบอก
ให้แพทย์ตรวจหาระดับของไขมัน TG ด้วย

อ้างอิง...

o http://www.healthafter 50.com

เรื่องบอกเล่าในการใช้ยาลดไขมัน: Myths about statins


นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์

March 22, 2015


มีรายงานจากสหรัฐฯ มีประชาชนที่มีอายุมากกว่า 45 จะกินยาลด
ไขมัน cholesterol ด้วยยา statin โดยจัดเป็นยาที่ใครก็รู้จักกัน และ
เป็นต้นเหตุของความเข้าใจผิดกัน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการ
เรียนรู้  และนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป

เรื่องบอกเล่า 1 : ยาลดไขมัน statin ทำให้เกิดการสูญเสียความ
ทรงจำ
มีบางคนที่กินยากลุ่ม statins เพื่อลดระดับไขมันคอลสเตอรอลในกระ
แสเลือด รายงานให้แพทย์ได้ทราบว่า เขาเกิดมีอาการสับสน หรือเป็น
คนขี้หลงลืม

เนื่องจากคนที่อยู่ในวัยกลางคน ถึงคนสูงอายุ มักจะมีปัญหาเรื่องความ
จำเสื่อม  และเป็นช่วงที่มีการกินยา statin กันมากที่สุด  จึงอาจทำ
ให้เกิดความสงสัยว่า อะไรคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดมีอาการเช่นนั้น...
ยา หรือ เป็นเรื่องปกติของคนสูงอายุ

ความกังวลใจเกี่ยวกับการใช้ยา statin เริ่มเกิดจากกลุ่มคนที่รายงานให้
องค์การอาหาร และยา (FDA)

โดย Dr. Christopher Cannon, จาก Harvard Medical School ได้รายงาน
เอาไว้ว่า มีกลุ่มคนกินยา statin ได้เพียงหนึ่งวันเท่านั้น ที่รายงานว่าเกิดมี
ผลข้างเคียงเกิดขึ้น  ซึ่ง Dr. Cannon ให้ความเห็นว่า อาการที่เกิดขึ้นไม่น่า
จะเกิดจาก statin เพราะมีผลของการศึกษาที่น่าเชื่อถือได้ ด้วยการศึกษาใน
ประชาชนจำนวน 20,000 ราย ที่กินยา statin แล้วไม่ปรากฏว่ามีปัญหาด้าน
ความคิด และด้านความจำแม้แต่คนเดียว

เรื่องบอกเล่า 2: เมื่อมีการใช้ยา statin ท่านจะต้องตรวจเลือด เพื่อ
ตรวจเช็คการทำงานของตับ และไตอย่างสม่ำเสมอ

มีการกล่าวว่า ยา statin จะทำลายเซลล์ของตับ  ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยา
เราควรทำการตรวจเลือดดูระดับของเอ็นไซม์ของตับ หากค่าที่ตรวจได้
มีระดับสูงขึ้น ย่อมหมายความว่า  ตับอาจถูกทำลาย

นอกจากนั้น ควรทำการตรวจเอ็นไซม์ creatine kinase (CK) โดยเป็น
ผลผลิตอันเกิดจากกล้ามเนื้อ (damage) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนบอก
ให้ทราบถึงอันตรายจาการเกิดภาวะกล้ามเนื้อสลายตัว  rhabdomyolysis
โดยพบได้ประมาณ หนึ่งใน 10,000 คนที่ใช้ยา statin ซึ่งสามารถยัง
ผลให้เกิดภาวะไตวาย และเสียชีวิตได้

ความจริงมีว่า  การตรวจเลือดเพื่อเช็คดูเอ็นไซม์ทั้งสอง ไม่สามารถบอก
ให้ทราบถึงภาวะอันตรายทั้งสองได้ ซึ่งต่างเป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก ๆ

ในปี 2012 องค์การอาหาร และยาจากสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงคำแนะนำ
โดยให้ทำการตรวจเอ็นไซม์ของตับ และของกล้ามเนื้อเพียงครั้งเดียวเมื่อ
คนไข้เกิดมีอาการต่างๆ ของกล้ามเนื้อ หรือตับถูกทำลาย
ซึ่งอาจมี เมื่อยล้าโดยไม่ทราบเหตุ, เบื่ออาหาร,ปวดท้องบริเวณส่วนบน,
ปัสสาวะสีดำ, ผิวหนังสีเหลือง หรือตาซีดขาว

สำหรับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ  พบได้ประมาณ 1 ใน 10
ของคนที่เริ่มกินยา statin โดยมีอาการปวดกล้ามเนื้อ และอ่อนแรง
อาการที่เกิดขึ้น  จะพบได้ในคนช่วงวัยกลางคนขึ้นไป

อาการปวดกล้ามเนื้อดังกล่าว  อาจเกิดจากการออกกำลังกายมากเกินไป
 หรือทำงานในสนาม หรือเกิดจากการนั่งเล่นคอมฯ เป็นเวลานานก็ได้

ในกรณีที่ไม่ปัญหาดังกล่าว  อาการปวดกล้ามเนื้ออาจเป็นผลมาจาก
การใช้ statin โดยเกิดในระยะเวลา 2-3 อาทิตย์หลังเริ่มการใช้ statin
โดยอาจเกิดขึ้นกับสองข้าง หรือเกิดขึ้นข้างเดียวของร่างกาย

ในกรณีที่เกิดจากยา statin แพทย์อาจแนะนำให้ลดขนาดของยาลง
หรือกินยวันเว้นวัน  หรือเปลี่ยนยา statin ตัวใหม่ ซึ่งมักจะแก้ปัญหาได้

เรื่องบอกเล่า 3:  สาร CoQ10 สามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาหารปวดกล้าม
เนื้ออันเกิดจากยา statin

Coenzyme Q10 เป็นสารที่ค้ลายไวตามิน ถูกสร้างภายในร่างกายได้
ตามธรรมชาติ  โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานของเซลล์ภายใน
ร่างกาย  และเป็นเป็นสินค้าสามารถซื้อหามาได้ในรูปของอาหารเสริม
โดยมีการโฆษณาว่า  สามารถเสริมพลัง และสนับสนุนการทำงานของหัวใจ

จากการกินยา statin สามารถลดระดับ CoQ10 ดังนั้นจึงมีนักวิทยาศาสตร์
จำนวนไม่น้อยเกิดความเชื่อว่า การเพิ่มระดับของ CoQ10 อาจช่วยรักษา
อาการปวดกล้ามเนื้ออันเกิดจากการกินยา statin ลงได้บ้าง แต่เท่าที่
ปรากฏ ยังไม่มีหลักฐานในสนับสนุนเรื่องดังกล่าวเลย

มีแพทย์หลายนาย  ยังคงพยายามแนะนำให้คนกินยา statin ร่วมกับการ
ใช้สาร CoQ10 เป็นเวลาหลายเดือน และดูเหมือนว่ามันจะปลอดภัยจาก
ผลข้างเคียงได้

อย่างไรก็ตาม  ผลจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า CoQ10 อาจลดประสิทธิภาพ
ของยา warfarin (Coumadin) เป็นเหตุทำให้คนไข้มีความเสี่ยงต่อ
การทำให้เม็ดเลือดเกิดการจับตัวเป็นลิ่มเลือดได้


อ้างอิง:

o www. Health.harvard.edu

เมื่อท่านไม่สามารถใช้ลาลดไขมันคอเลสเตอรอลซ P.2 – Statin Intolerance - What do we know ?

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 21, 2015


เมื่อเราต้องกินยาลดไขมันติดต่อกันเป็นเวลานาน...
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า  เกิดมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น ?

ในการใช้ยากลุ่ม statin  ก่อนที่ท่านจะใช้ยาตัวดังกล่าว แพทย์จะทำการ
ตรวจเอ็นไซม์ของตับก่อนกินยาเสมอ  ต่อจากนั้น  แพทย์จะตรวจเอ็นไซม์
ตัวดังกล่าวซ้ำภายหลังท่านกินยาไป 3 เดือน  และทำการตรวจทุกครั้งที่
มีการเพิ่มขนาดของยา  และทำการตรวจติดตามผลทุก ๆ ปี

ถ้าท่านเกิดมีอาการปวดกล้ามเนื้อ, เจ็บกล้ามเนื้อ, หรือมีอาการอ่อนแรง
หลังจากกินยา  ท่านจะต้องบอกแพทย์ เพื่อแยกสาเหตุของอาการปวด
กล้ามเนื้อว่า  มีการทำลายกล้ามเนื้อ (จากยา)ได้หรือไม่  และแพทย์อาจ
พิจารณาเปลี่ยนชนิดของยาในกลุ่ม statins  หรือลดขนาดของยาลง

เมื่อมี่การเปลี่ยนยาตัวใหม่  หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น  ถือเป็นหน้าที่ของ
ท่านจะต้องรายงานให้แพทย์ได้รับทราบทันทีเช่นกัน  ซึ่งแพทย์มักจะเชื่อว่า
อาการที่เกิดน่าจะเป็นผลมาจากยา statin

แพทย์อาจลองให้ท่านเลิกกินยา เพื่อพิสูจน์ดูว่า อาการจะหายไปหรือไม่
หากอาการหายไป...อาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะเป็นผลมาจากยา
และแพทย์อาจปรับเปลี่ยนยา  ด้วยการลดขนาดของยาลง หรือให้ยาเว้นวัน
หรือเปลี่ยนชนิดของ Statin

ที่เราควรทราบ...
เมื่อมีอาการเกิดจากการใช้ยา statin ชนิดหนึ่ง ท่านสามารถกินยา statin ตัว
ใหม่ได้ โดยที่ยาตัวใหม่จะไม่ทำให้มีอาการเหมือนยาตัวแรก

ในกรณีที่ท่านไม่สามารถใช้ยา statin ชนิดใดๆ ได้...
ท่านอาจพิจารณาใช้ยาตัวอื่นๆ  เป็นต้นว่ายาในกลุ่ม cholesterol absorption
inhibitors ชื่อ Zetia, หรือยาในกลุ่ม Resin เช่น Welchol หรือยา Niacin…
โดยยาเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการลดระดับ cholesterol ได้ต่ำกว่า statin

เมื่อท่านไม่สามารถใช้ยาในกลุ่ม statin ได้  ความรับผิดชอบจะตกอยู่ที่ตัวท่าน
ซึ่งท่านจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของท่าน  รวมถึงการควบคุมอาหาร เพื่อ
ลดระดับ cholesterol

สิ่งที่ท่านต้องทำ คือ:

ออกกำลังกายตามรูปแบบแอโรบิค อย่างสม่ำเสมอทุกวัน เช่น เดินเร็ว,
จ๊อกกิ่ง...อย่างน้อย 30 นาที/วัน

รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับปกติ  อย่าให้อ้วน หรือน้ำหนักเกิน

ควบคุมเรื่องอาหาร ให้ลดอาหารประเภท cholesterol, ไขมันอิ่มตัว
(saturated fats) หรืออาหารที่เป็นพวกมันสัตว์ และงดเว้นจากการ
กินไขมันทรานซ์ (trans fats)

โดยสรุป...
การลดระดับไขมัน cholesterol ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับป้องกันไม่ให้เกิด
โรคหัวใจ  โดยทุก 1% ของการลด LDL-C สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิด
โรคหัวใจ และเส้นเลือดได้ 1%

วิธีการลดระดับไขมัน cholesterol ที่ดีที่สุด คือการผสมประสานกันระหว่าง
การปรับเปลี่ยนพฤติด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรับประทาน
อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  และร่วมกับยาที่เหมาะสม

ยาในกลุ่ม statins ได้รับการพิสูจน์ว่า เป็นยาที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการ
เกิดโรคหัวใจ และสมองขาดเลือด  รวมถึงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร


  << BACK



อ้างอิง...

o www.cleavlandclinic.org
o www.medscape.com

เมื่อท่านไม่สามารถใช้ยาลดไขมันคอเลสเตอรอล...P.1 :Statin intolerance

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 21, 2015

โรคหัวใจ และเส้นเลือด ซึ่งประกอบด้วยโรคหัวใจ และเส้นเลือดของ
สมอง รวมถึงอวัยวะอย่างอื่น  ซึ่งนำไปสู่การเป็นการทำลายชีวิตของคน
ทั้งเพศชาย และหญิงได้ประมาณ 40 % (USA) โดยครึ่งหนึ่งหรือ 20%
จะตายจากโรคหัวใจ และภาวะแทรกซ้อนของโรคดังกล่าว

จากการทดลองพบว่า  การลดระดับ cholesterol ลง  สามารถลดความ
เสี่ยงจากการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย (heart attack) และ
สมองขาดเลือด (stroke) รวมถึงการเสียชีวิต

เนื่องจากระดับไขมัน cholesterol สูง เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในกลุ่มคน
ทั่วไป  ดังนั้น  การลดระดับ cholesterol  ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ
สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจในประชาชน โดยเฉพาะคนที่
มีน้ำหนักตัวสูง และอ้วน...

ผลข้างเคียงอันเกิดจากยา เราได้หันมาสนใจในอาการทางกล้ามเนื้อ
ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา Statin อาการที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการ
ปวดกล้ามเนื้อ (myalgia) โดยไม่มีประวัติว่าได้รับบาดเจ็บมาก่อน
ซึ่งพบได้ประมาณ 1.5% ถึง 3.5% ในคนที่กินยา Statin

ส่วนในกรณีที่มีการสลายของกล้ามเนื้อชนิด Rhabdomyolysis ถือเป็น
ภาวะที่มีความรุนแรงขั้นเสียชีวิตได้นั้น พบได้น้อยมาก  โดยพบได้เพียง
5 คนในจำนวนคนกินยา statin 10,000 คน  และมักจะพบได้ในคนสูงอายุ
ระหว่าง 75 -80 ปี หรือพบในคนที่มีรูปร่างเล็ก หรือ หรืออ่อนแอ หรือมี
โรคประจำตัว เช่น เป็นโรคไต หรือโรคตับ

นอกจากนั้น  เรายังสามารถพบในคนที่ดื่ม grapefruit juice, หรือกินยา
บางอย่างร่วมกับ statin เช่น ยารักษาเชื้อรา, ยาปฏิชีวนะบางชนิด และยา
รักษาโรคหัวใจบางอย่าง   โดยยาเหล่านี้ สามารถเพิ่มระดับของ statin ใน
กระแสเลือดสูงขึ้น  เป็นเหตุให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง


NEXT >> P. 2- What do we know ?

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

ลดระดับไขมัน cholesterol ด้วยอาหาร : diet changes to help lower cholesterol levels


นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 21, 2015


มีเพื่อนเราหลายคนไม่สนใจที่จะกินยา เพื่อลดระดับไขมัน cholesterol
เพราะกลังอันตรายอันอาจเกิดจาการใช้ยาดังกล่าว  แต่จะหันไปใช้อาหาร
หรือควบคุมทางอาหารแทน

ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่มีระดับไขมัน cholesterol สูง...
(โดยสูงในระดับ 240 mg/dL หรือสูงมากกว่า)  เพียงแต่ปฏิบัติตามขั้นตอน
ต่อไปนี้  ก็สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจ (heart attack) ได้
โดยมีรายงานที่พอเชื่อถือได้ว่า  ทุก 10% ของระดับ cholesterol ที่ลดลง
สามารถความความเสี่ยงจากการเกิดอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจ (heart attack)
ได้ถึง 20% ถึง 30%

เพื่อลดระดับ cholesterol โดยไม่ต้องกินยาลดไขมัน  ท่านจำเป็นต้องรักษา
วินัยอย่างเคร่งคัด  โดยการเลือกกินอาหารที่ให้สุขภาพต่อร่างกาย  โดย
อาหารดังกล่าวเป็นอาหารที่สามารถลดระดับไขมันได้จริง ดังนี้:

 เลือกกินอาหารประเภทไขมันที่ดี  นั้นคือหลีกเลี่ยงอาหารประเภท
ไขมันอิ่มตัว (saturated fats)  และหลีกเลี่ยงจากการกินไขมันทรานซ์
(trans fats)  ซึ่งเมื่อกินเข้าไปแล้ว  มันจะเพิ่มระดับไขมันที่ไม่เป็น
ประโยชน์ต่อกาย เช่น LDL cholesterol และลดไขมันดีมีประโยชน์
ต่อกาย เช่น DHL cholesterol  แต่ให้รับประทานไขมันที่เป็นประโยชน์
ซึ่งได้แก่ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fats) ซึ่งสามารถพบได้ในเนื้อปลา,
ถั่ว, และมันพืช...

 กินอาหารที่เป็นเมล็ดโดยไม่ขัดสี (whole-grain) : อาหารประเภท
ธัญพืช หรือเป็นเมล็ดที่ไม่ได้รับการขัดสีผิวออก  จะพบว่า นอกจากจะ
มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อกายแล้ว  ยังพบว่ามีสารใยอาหารที่สามารถ
จับตัวกับไขมันไม่ให้มันถูกดูดซึมจากลำไส้เข้าสู่กระแสโลหิตได้ 
ซึ่งสามารถลดระดับ cholesterol  (LDL-C) ลงได้

 อาหารอย่างอื่นที่มีประโยชน์ : ให้รับประทานอาหารประเภทผัก
และผลไม้ให้มาก  หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปรุงสำเร็จ และของ
หวาน เลือกดื่มนมที่ไม่ไขมัน (fat-free milk) แทนดื่ม whole milk
ภายหลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าว  หากปรากฏว่าท่านไม่สามารถ
ลดระดับไขมัน cholesterol ลงสู่ระดับที่ต้องการได้  ท่านควรปรึกษาแพทย์
เพื่อพิจารณาใช้ยาลดไขมันกันต่อไป

อ้างอิง:
o .www. health.harvard.edu

กลยุทธสำหรับการใช้ยาลดไขมัน “คอเลสเตอรอล: The new strategy of statins

นพ. มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์
March 20, 2016


เป็นที่ยอมรับว่า...
การใช้ยาลดไขมัน cholesterol จะมีเป้าหมายไปยังการลดอันตรายไม่ให้
เกิดขึ้นกับร่างกาย  มากกว่าการลดระดับไขมัน cholesterol

โดยทั่วไป  แพทย์จะแนะนำให้คนที่มีประวัติว่ามีโรคกล้ามเนื้อหัวใจ และ
สมองถูกทำลายจากการขาดเลือด (heart attack & stroke) หรือมีประวัติ
ว่าเจ็บหน้าอกในขณะออกกำลังกาย หรือเกิดในระหว่างมีความเครียดกินยา
ลดไขมันกลุ่ม statins  เพราะการลดระดับไขมันดังกล่าว  สามารถลดอัตรา
การเสียชีวิตได้ถึง 20%

นอกเหนือจากนั้น  ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน  ก็ควรได้รับยาในกลุ่ม statins
เพื่อลดไขมัน cholesterol ลงเช่นกัน เพราะคนเป็นโรคดังกล่าวมีโอกาสเกิด
ความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 4 เท่าตัวของคนทีไม่เป็นโรคเบาหวาน
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เป็นโรคตามที่กล่าวมา  เราจะใช้ผลจากการตรวจเลือด
ดูระดับของ cholesterol ในกระแสเลือดมาพิจารณา  ซึ่งใช้ค่าของ total
Cholesterol  และ LDL cholesterol มาเป็นตัวกำหนด  โดยค่าของ Total
Cholesterol ต้องต่ำกว่า 200 mg/dL   และ LDL cholesterol ให้ลดต่ำกว่า
100 mg/dL

แต่มาในปัจจุบัน  โดย The American Heart Association &The American
College of Cardiology ได้เสนอแนวทางให้ใหม่ โดยให้พิจารณาด้านความ
เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดเป็นสำคัญ
แนวทางใหม่สำหรับพิจารณาให้กินยา statins คือ:

 ใครก็ตามที่มีโรคหัวใจ และเส้นเลือด เช่น เคยมีอาการเจ็บหน้าอก
จากการออกกำลังกาย หรือเครียด, มีประวัติเป็นโรคกล้ามเนื้อถูกทำลาย
 & สมองถูกทำลายจากการขาดเลือด


 ใครก็ตามที่มีระดับของไขมัน LDL cholesterol  ในกระแสเลือดสูง
ถึง 190 mg/dL หรือสูงกว่า


 ใครก็ตามที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งมีอายุระหว่าง 45 – 75

 ใครก็ตามที่มีความเสี่ยงมากกว่า 7.5 % ที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัว
ใจ หรือสมองขาดเลือด  หรือมีโอกาสเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดภายใน
ระยะเวลา 10 ปี


หมายเหตุ:
ในการคำนวณค่าความเสี่ยงภายในระยะสิบปี (10 – year risk) แพทย์จะ
ใช้สูตรใน AHA’s website โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จาก Age, Sex, Race,
total cholesterol, HDL cholesterol, bloodPressure, diabetes,
และ smoking…มาทำการคำนวณหาค่าความเสี่ยงในช่วงระยะ 10 ปี

www. Health.harvard.edu